ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความคิดหยุดได้

๑๗ ม.ค. ๒๕๕๓

 

ความคิดหยุดได้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม ๑๗ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี




ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นแล้วจะเป็นประเด็นที่ดี แต่เราเอาเลยไหม มันเป็นคำถามแล้วมันอยู่ในเว็บไซต์มานาน แล้วมันน่าสนใจ เราจะอ่านคำถามเลยล่ะ

ถาม : หลังจากที่ผมได้ค้นพบเว็บของท่านพระอาจารย์ได้ประมาณ ๓ เดือนและได้ฟังการตอบปัญหาของพระอาจารย์แล้ว กระผมได้รับความกระเทือนจิตอย่างแรง ไม่เคยเหมือนการฟังเทศน์ของท่านพระอาจารย์องค์อื่น ที่แม้จะได้รับความกระเทือนก็ไม่รุนแรงเท่าของพระอาจารย์ เพราะเทศน์ของท่านตรงกับใจ ตรงกับปัญหาของกระผมที่ประสบเจออยู่ กระทั่งกระจ่างในข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในใจของกระผมอย่างน่าอัศจรรย์

และค้นพบว่าบางสิ่งที่กระผมมีความหลงและเข้าใจว่าเดินมาถูกทางแล้ว แต่แท้จริงมันผิดและต้องแก้ไขให้ถูกต้อง และทำให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมโดยอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์นั้นช่างลำบากยากเย็น ซึ่งบางครั้งการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตนเองนั้นต้องใช้เวลานาน บางครั้งหลายปีกว่าจะเข้าใจถูกและทำให้ถูก กระผมขอกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์ดังนี้

๑. เมื่อเราใช้สติตามดูจิตของตนเองแล้ว เมื่อเรารู้ว่าจิตมีอาการคิดด้วยความมีสตินั้นความคิดจะดับลงทันที ยิ่งมีสติรู้ทันความคิดเร็วเท่าไหร่ ความคิดก็จะหยุดเร็วเท่านั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ครับ (ทำไมความคิดมันจึงไม่ติดต่อไปอีก ทำไมมันหยุดทั้งๆ ที่บางทีเราก็ลองบอกว่าให้คิดต่อไปก็ได้ เอ็งจะคิดก็คิดไปแต่ข้าขอรู้ตัว คือมีสติอย่างเดียว มันก็ไม่คิดต่อ มันหยุด แต่หากเราเผลอตัวเมื่อไหร่ ขาดสติเมื่อไหร่เมื่อนั้นจิตจะคิดต่อไป)

หลวงพ่อ : อ่านปัญหาให้จบก่อนแล้วเดี๋ยวจะตอบ

ถาม : ๒. ในการนั่งสมาธิของกระผมนั้นเดิมทีผมใช้คำบริกรรมพุทโธ กำกับลมหายใจมาโดยตลอดทำมานานหลายปี แต่ต่อมาภายหลังเมื่อทำเป็นมากขึ้นและได้รับความสงบมากขึ้นเป็นลำดับ ก็ได้เปลี่ยนแนวทางมาเป็นการใช้สติดูจิตของตนเอง ซึ่งวิธีนี้กระผมได้รับความสงบเร็วขึ้นและมันทัน คือมันทันกับความรู้สึกตัวของตัวเอง ทันกับความคิดของตัวเองไม่เผลอง่าย มีสมาธิที่มั่นคงมากขึ้น

แต่แม้กระผมจะนั่งสมาธิหลายปีแล้ว แต่มีข้อเท็จจริงว่ากระผมไม่เคยเห็นนิมิตอย่างใดเลย ซึ่งตรงนี้กระผมก็ไม่ได้มีความอยากในสิ่งนี้เช่นกัน แต่ในเรื่องของการทำสมาธินี้กระผมมีปัญหาอยากขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า อันว่าสมาธิมี ๓ ระดับนั้นคือขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ และในการปฏิบัตินั้นทางตำรากล่าวว่า หากผู้ใดทำสมาธิแล้วได้ถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จะต้องถอนออกสู่สมาธิขั้นอุปจาระเพื่อออกเดินทางปัญญา

แต่ในข้อเท็จจริงส่วนตัวของกระผมนั้น กระผมมีความมั่นใจว่าตนเองทำสมาธิได้ถึงขั้นอุปจารสมาธิแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ และเห็นว่าแม้ได้เพียงขั้นอุปจารสมาธิก็ควรออกเดินทางปัญญาได้แล้ว ส่วนในอนาคตนั้นหากเราทำสมาธิต่อไป เราจะได้ถึงอัปปนาสมาธิหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็พอ อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดหรือถูกครับ

๓.การเดินทางปัญญานั้นกระผมมีความชอบในเรื่องจริตนิสัยส่วนตัวที่ชอบพิจารณาว่า อันว่าจิตนี้มันชอบคิดแส่ส่ายไปในเรื่องต่างๆ บางครั้งคิดดีมีความสุข บางครั้งคิดชั่วคิดทุกข์ก็มีความทุกข์ บางครั้งก็อยู่เฉยๆ จิตนี้มันเป็นของมันไม่แน่นอนมีเกิดมีดับอยู่เสมอ มันเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดวันตลอดคืน มันเกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตนี้ไม่ใช่เรามันบังคับไม่ได้ มันใช่ของเรา

ในการทำงานของผมในชีวิตประจำวัน ผมมักจะต้องเจอปัญหาที่ต้องใช้ความคิดอยู่เสมอ บางครั้งก็ได้รับความทุกข์ในการคิดเรื่องนั้นๆ เพราะเผลอตัวขาดสติ แต่เมื่อมีสติเมื่อใดมันจะบอกของมันเองว่า เออ อันนี้แหละคือจิตล่ะ มันชอบปรุง มันชอบคิด มันชอบนำทุกข์มาให้ แล้วคุณจะทุกข์ใจไปทำไม พอคิดได้อย่างนี้ พอมีสติรู้เท่าทันมันก็เบาครับ อันนี้ถูกหรือผิดครับ

หลวงพ่อ : ๔.อีกเรื่องหนึ่งนะ เนี่ยเอาตรงนี้กลับมาเรื่องข้อที่สองเนี่ย ข้อที่สองที่ว่า พอจิตมันไปมีขั้นอุปจาระ อัปปนาที่เขาว่าเนี่ยก็เหมือนเมื่อกี้พอปฏิบัติไปแล้วเนี่ย ทำไมไม่ก้าวหน้าไง ไปอยู่เฉยๆ อยู่ไง นี้ย้อนกลับมานี่ก่อนเลยมาตอบว่าทำไมมันหยุดคิด เพราะข้อที่สองเนี่ยมันจะฟ้องถึงข้อที่หนึ่งด้วย เพราะข้อที่หนึ่งเห็นไหมเมื่อเราใช้สติตามดูจิตของตนเองแล้ว เมื่อเรารู้ว่าจิตมีอาการคิดแล้ว ความคิดด้วยความมีสตินั้นความคิดจะดับลงทันที ยิ่งมีสติรู้เท่าทันว่าความคิดเร็วเท่าไหร่ ความคิดก็หยุดเร็วเท่านั้น เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ครับ

เห็นไหมธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมดาไง มันก็ธรรมดาไง เรื่องธรรมดาความคิดเกิดดับนี่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ถ้านั้นเวลาเมื่อก่อนน่ะเราถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา โดยเราพูดบ่อยมากแต่โยมจับประเด็นไม่ถูกว่าพัฒนาการของจิต พลังงานของจิตมันเป็นอย่างนี้ โดยธรรมชาติเนี่ยมันก็เกิดดับนี่แหละ

แต่เกิดดับทางวิทยาศาสตร์เราบอกเห็นไหมเสาไฟฟ้ามันเกิดดับ เกิดดับ ความเกิดดับเป็นอัตโนมัติ ความคิดเป็นอัตโนมัติ มันไม่มีหรอก แม้แต่เสาไฟฟ้าเนี่ยมันต้องมีแผงวงจรไฟฟ้าเลย ดูรีโมทคอนโทรลสิ ดูประตู..ดูแสงไฟที่เปิดปิดอัตโนมัติเนี่ยมันมาจากไหน มันมาจากเทคโนโลยีนะ มันเกิดดับเองไม่ได้หรอก มันไม่มีหรอก ทีนี้มันไม่มี แล้วความคิดมันเกิดดับยังไง ความคิดเกิดดับมันก็เป็นพลังงานอันหนึ่ง พลังงานทางจิตเพราะความคิดมันไม่ใช่จิต ความคิดมันไม่ใช่จิตอยู่แล้ว จิตมันเป็นจิตเห็นไหม

ถ้าความคิดกับจิตนี้เป็นอันเดียวกันนะ เราจะเกิดเป็นมนุษย์เป็นมนุษย์อยู่อย่างนี้ แล้วเราไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ได้ยังไง ไปเกิดเป็นพรหมได้ยังไง พรหมมีขันธ์ ๑ เอ้าพรหมมีขันธ์ ๑ แล้วถ้าจิตความคิดมันอยู่กับจิตนี้ตลอดไปเนี่ย แล้วเวลาไปเกิดเป็นพรหมทำยังไง เอ้า มันก็มีความคิด บางครั้งมันก็ฟุ้งซ่านอยู่ มันฟุ้งซ่านความคิดกับจิตมันไม่ตายตัว พรหมมันไม่มีความคิด พรหมมันมีขันธ์ ๑ เอ้า แล้วมันไปอย่างไร อย่างนั้นเราก็ไปเกิดบนพรหมไม่ได้ ใครทำบุญขนาดไหนก็ไปเกิดบนพรหมไม่ได้ ใครทำสมาธิขนาดไหนก็ไปเกิดบนพรหมไม่ได้ เพราะเกิดเป็นพรหม พรหมมันไม่มีความคิด พรหมขันธ์ ๑

แต่พอมาเป็นเทวดา เทวดามีความคิดเป็นทิพย์แล้ว มีสิ่งของเป็นทิพย์เพราะมีขันธ์ ๕ เหมือนกันแต่ไม่มีร่างกาย พอมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ยมนุษย์ถึงมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เนี่ยหมามันมีความคิดไหม สัตว์มันมีความคิดไหม สัตว์มันไม่มีความคิดเพราะเดรัจฉานเห็นไหม พอเดรัจฉานลงไปแล้วมันก็ลงนรกอเวจีไปแล้ว ทีนี้มันเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพราะมันมีกายกับจิต มันมีความคิด มีความคิดมีจิตกับขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เนี่ย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันธรรมชาติของมัน

นี้คนเรานี่มันมีสติสัมปชัญญะมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นมาเนี่ยมันก็รู้เท่าทันความคิดได้ แล้วรู้เท่าทันความคิดเนี่ยรู้เท่าทันความคิดนะ บางทีเราคิดนะ คิดถูกคิดผิดเนี่ย คนเราจะรู้ได้เลยว่าความคิดเราเนี่ย อึ้ คิดอย่างนี้เราเคยคิดในทางที่ผิดแล้วเราเสียใจกับความคิดเราเห็นไหม เนี่ยเราก็รู้ เราก็มี ความคิดมันคิดได้ แต่ความคิดอย่างนี้มันคิดโดยพลังงานเหมือนกับเราเนี่ยมีส่วนร่วมมีส่วนหนึ่งมันไปกับมัน แต่พอมีสติเห็นไหม พอมีสติยับยั้งมันหยุดได้เพราะเราไม่มีส่วนร่วมกับความคิด ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิดใช่ไหม ถ้าเรามีสติ สติมันหยุดนะ ถ้ามีสตินี่หยุด

นี่ไงเราถึงบอกว่า ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย ถ้ามีปัญญารู้ทันด้วย พอรู้ทันเห็นไหม ธรรมดาเนี่ยความคิดเวลามันไหลไป ความคิดนี่เหมือนพลังงานเห็นไหม พลังงานมันไปของมันอย่างนี้ แล้วเราเองเราเกิดมาสถานะอย่างนี้ คือว่าเราเกิดมาโดยธรรมชาติ เราเกิดมาโดยธรรมชาติเพราะธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ โดยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

ดูภาษาสิ เนี่ยดูภาษาแต่ละภาษามันแตกต่างกัน เนี่ยภาษานี่สมมติขึ้นมา สมมติ สมมติให้ใช้ภาษาแตกต่างกัน แล้วสมมติอันนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาจากเด็กเราสอนมัน เด็กใช่ไหมเด็กบางคนเราได้ภาษาไทย เด็กบางคนได้ภาษาจีน เด็กบางคนได้หลายภาษา ได้ภาษานี่ น้ำ เห็นไหมมันก็เรียกได้หลายภาษา เนี่ยภาษาสมมติ ทีนี้ภาษาสมมติเนี่ยความคิดที่มันเกิดขึ้นมาเราเนี่ย ไอ้สมมตินี่เรายัดเข้าไปโปรแกรมของความคิด เพราะความคิดมันธรรมชาติของมัน

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขาร ความคิด ความปรุงความแต่งเป็นธรรมชาติของมัน เหมือนไฟฟ้านี่แหละ ไฟฟ้านี่เราไปใช้ประโยชน์กับอะไร เอ้าไฟฟ้าเห็นไหม ไฟฟ้าคือพลังงาน มันใช้ประโยชน์กับอะไร ถ้าใช้ประโยชน์เครื่องยนต์กลไก ก็ใช้ประโยชน์โรงงานอุตสาหกรรม ใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์อะไร นี่ไงขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือธรรมชาติการทำงานของจิต พลังงานของจิตมันเป็นอย่างนี้

เพียงแต่ความคิดที่เราเป็นสื่อความหมายเนี่ย มันอยู่ที่ภาษาที่เราจะป้อนมันเข้าไปเห็นไหม เด็กโตขึ้นมาเนี่ยเราสอน จะสอนเด็กหัดพูด เด็กหัดพูดสอนให้มัน พอสอนให้มันมันก็เป็นสมมติ สมมติไปในจิตมันเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ มันเหมือนโปรแกรมอะไรก็แล้วแต่ มันจะตอบค่ามาตามนั้น มันคอมพิวเตอร์น่ะ นี่เราให้ค่ามัน เนี่ยคอมพิวเตอร์นี่ไงความคิด นี้พอความคิด พอความคิดนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เราพอใจไม่พอใจ เราชอบใจไม่ชอบใจก็อีกเรื่องหนึ่ง

นี้เรามาพบพุทธศาสนาใช่ไหม พุทธศาสนาสอนถึง ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม สติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะให้ยับยั้งเป็นธรรม คุณธรรมมันจะเกิดขึ้นมาโดยการฝึกสติ นี้พอฝึกสตินี่พลังงาน มันก็หมุนเป็นธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ โดยธรรมชาติเขาคิดกันไปเป็นอย่างนั้นน่ะ โดยแล้วแต่เชาว์ปัญญาของคน เชาว์ปัญญาของคนเป็นอย่างนั้น

นี้พอพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ นี่ไงกำหนด เริ่มกำหนดรู้เท่าทันตัวเองแล้วเห็นไหม รู้เท่าทันความคิด พลังงานที่มันคิดโดยธรรมชาติของมันน่ะ เราจะรวบรวมพลังงานนั้นมาเพื่อใช้ประโยชน์กับเรา ถ้าเรารวบรวมพลังงานใช้ประโยชน์กับเรา นี้รวบรวมพลังงานโดยวิธีการใด

ดูสิลัทธิศาสนาต่างๆ เขาสอนไปมากมาย ทุกศาสนาก็สอนกำหนดภาวนาทั้งนั้นน่ะ นี่ทุกศาสนาเลยสอนการทำสมาธิ เนี่ยหลักโดยทั่วไปทุกศาสนาสอนการทำสมาธิ แต่ไม่เหมือนพุทธศาสนา พุทธศาสนามีศาสนาเดียวที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์คือเข้าใจขบวนการของจิตทั้งหมด เข้าใจขบวนการของจิตแล้วยังมีปัญญาทำลายขบวนการของจิตนั้นด้วย

ขบวนการของจิต ฟังสิขบวนการของจิต ธรรมชาติพลังงานของมัน นี้พลังงานมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มันเหมือนนายช่างเลย นายช่างเครื่องยนต์กลไกเห็นไหม ดูสิเครื่องยนต์กลไก ถ้าสิ่งใดชำรุดเนี่ยมันต้องเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใด เขาจะฟังออกเลยนะ เนี่ย ฟังเสียงเครื่องยนต์ออกเลยว่าชำรุดเสียหายตรงไหน เนี่ยเขาคำนวณได้เลย แล้วพอเปิดเครื่องขึ้นมาเนี่ยมันเสียตรงนั้นจริงๆ เขาก็เปลี่ยนอะไหล่ตรงนั้นมันก็หายใช่ไหม

เนี่ยความคิดที่มันจะหมุนไป มันเหมือนเครื่องยนต์เนี่ย เหมือนเครื่องยนต์เนี่ยแต่ผู้ที่ทำความสงบของใจเข้ามาเห็นไหม จิตเห็นอาการของจิตเนี่ยๆ ตัวของเครื่องยนต์เองมันซ่อมตัวมันเองแปลกประหลาดไหม ไอ้ของเราเนี่ยเครื่องยนต์เนี่ยมันซ่อมตัวมันเองไม่ได้หรอก มันต้องไปหาช่าง ช่างซ่อมให้มันได้

แต่ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัตจัตตัง มันต้องใช้ขบวนการของจิตนั้น ซ่อมบำรุงจิตนั้น ถ้ามันใช้ขบวนการของจิตนั้นซ่อมบำรุงจิตนั้น จิตนั้นต้องทำความสงบตัวของตัวเข้ามา พอจิตมันสงบตัวเข้ามาเห็นไหม พอจิตสงบตัวเข้ามามันก็แยกแล้ว แยกระหว่างไฟฟ้าพลังงาน กับพลังงานนี้เราจะไปใช้กับสิ่งใดเห็นไหม พลังงาน พลังงานคือความรู้สึก ความคิดเห็นไหมคือเครื่องยนต์กลไกที่มันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน

นี้พอจิตมันหดตัวเข้ามา พุทโธ พุทโธ พุทโธหรือมีสติเนี่ย สติที่ว่าจิตมันหยุดได้อย่างไร จิตมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ใครจะรู้ไม่รู้มันก็เป็นอย่างนี้ เอ็งจะรู้ไม่รู้ไม่เกี่ยวเพราะสถานะของมนุษย์เป็นอย่างนี้ สถานะของมนุษย์ สถานะของการเกิด เกิดเป็นมนุษย์ มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันอย่างนี้โดยธรรมชาติของมัน

แล้วพระพุทธเจ้าก็รู้ขบวนการของมันแล้ว แล้วมันมีใครมาบอกว่ารู้เท่าทัน รู้เท่าทันแล้วมันจะเป็นพระอรหันต์ เราฟังมาทีแรกนะไม่เคยเห็นด้วยตลอดมาเลย ไอ้เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาเขาบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ ใช่ ก็ธรรมดาวิมุตติไง วิมุตติลงกิเลสไง ก็มันธรรมดาของมันอยู่แล้วปฏิบัติไม่ปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้ เอ็งจะปฏิบัติไม่ปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเอ็งปฏิบัติเข้าไปแล้ว เอ็งไปรู้อย่างนี้เข้าไปตื่นเต้นน่ะ ความรู้หางอึ่ง มันยังไม่เข้าขบวนการมรรคเลย

เนี่ยถ้ามีสติทำไมมันหยุด มันก็หยุดของมันอย่างนี้ มันหยุดของมันอย่างนี้อยู่แล้ว มึงจะรู้ไม่รู้มันก็เกิดดับ เพราะอะไร เนี่ยพิสูจน์ได้เลยนะ ใครก็ได้เวลามีความทุกข์ถึงแสนสาหัส แล้วทุกข์มากถึงกับทำลายชีวิตได้เลย แล้วจับไว้ผูกมัดไว้อย่างนั้นน่ะ เดี๋ยวความคิดมันจะเบาลง เบาลง ความทุกข์นั้นมันจะหายไป ไม่ได้ปฏิบัติเลย เรายังเคยมีความทุกข์แสนสาหัสไหม แล้วความทุกข์นั้นหายไปจากใจเรา ถึงกาลเวลามันรักษาของมันเอง เราเคยเป็นไหมแล้วได้ปฏิบัติหรือเปล่า แล้วทุกข์มันหายไปไหน มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ทุกข์อย่างนี้มันจะทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก ทุกข์ให้เราเจ็บช้ำน้ำใจไปตลอด

แต่นี้พอเราศึกษาพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้มีสติ สติ พอสติมันทันความคิด สติมันก็หยุดได้ สติมันหยุดได้มันไม่ใช่เรื่องความมหัศจรรย์อะไรเลย พอมันหยุดของมันเห็นไหม เนี่ยเห็นไหมเราบอกที่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันมีปัญญาอบรมสมาธิมันจะเห็นขบวนการอย่างนี้ ถ้ามันเห็นขบวนการอย่างนี้เราจะไม่สงสัยเลย แต่นี่ขนาดเราเห็นมันหยุดเลยนะ เหมือนเราเอารถไปซ่อมสิ นายช่างผู้ชำนาญนะเขาฟังเสียงเครื่อง เขารู้อะไรผิด เขาซ่อมเสร็จเลย ไอ้เราก็ได้ยินทุกวันก็รถเราเองนะ เราก็ใช้มันนะแต่ไม่รู้อะไรมันเสีย ใช้ทุกวันน่ะขับรถเป็นแต่ซ่อมรถไม่เป็น แล้วเอาไปให้ช่าง ช่างก็บอกนู่นก็เสีย นี่ก็เสีย มันจะเสียได้ยังไง มันยังมาได้เนี่ย พอออกมาก็เสียจริงๆ แล้วเสียตังค์ด้วย

นี่ก็เหมือนกันตัวเองทุกข์คิดอยู่ ตัวเองเป็นอยู่ ตัวเองรู้อยู่น่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย เนี่ยมันหยุดได้ยังไง มันสติตามความคิดไป ทำไมความคิดมันหยุด ความคิดมันเป็นอย่างนี้แล้วพอไปหยุดแล้วนี่ มันเหมือนกับเงินในกระเป๋าเราเนี่ย เงินในกระเป๋าเราก็หาของเรามาเอง เราก็ใช้เงินของเราเอง มันจะเป็นโทษกับใคร เงินในกระเป๋าเราเองนี่นะ จะใช้ก็บอกเงินนี้มหัศจรรย์มากเลย เงินนี้มายังไง ก็มึงหามันมาเอง

นี่ก็เหมือนกันชีวิตเราได้มาเอง เนี่ยจิตของเรา จิตของเราเนี่ยร่างกายของเราเนี่ยเพราะบุญกรรมมันมาของเราเอง พอมาของเราเองเนี่ย มันก็เป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่แล้ว แล้วเวลาเป็นขึ้นมาเนี่ยทำไมสงสัยล่ะ สงสัยเพราะมีอวิชชา เพราะความไม่รู้ แต่เวลาพระพุทธเจ้าสอนขึ้นมา ธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ย ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ

ธรรมะเป็นธรรมชาติเหมือนเศรษฐีมหาเศรษฐีไง ดูสิ บิลล์ เกตส์ เนี่ยมันบริจาคเงินหกหมื่นล้านเหรียญให้อยู่เป็นมูลนิธิ หกหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ มันสละทิ้งไปได้เลย ไอ้เราบาทสองบาทยังควักออกมาจากกระเป๋าไม่ได้เลย นี่ไงเศรษฐีมหาเศรษฐีเนี่ย มันถึงเป็นธรรมชาติ พระอรหันต์เท่านั้นที่มองเห็นสภาวะเป็นธรรมชาติเพราะเป็นอย่างนั้นจริง เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะใจท่านไม่มีกิเลสไง

แต่ไอ้เราเนี่ยแม่งไอ้พวกโคตรยาจกเลย แล้วบอกว่าเป็นธรรมชาติ เขาสละเงินหกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐนะเว้ย มึงได้สละสักบาทหนึ่งไหม บาทหนึ่งก็ควักไม่ออกจากกระเป๋าเลย มึงบอกมึงจะเอาตังค์คนอื่น แล้วบอกเป็นธรรมชาติ เงินนี้เป็นธรรมชาติ กระดาษเป็นธรรมชาติ แต่ถ้า บิลล์ เกตส์ บอกเป็นธรรมชาติยังน่าฟังมันหน่อย เพราะมันสละได้หกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นี่ไงมันจะเป็นธรรมชาติต่อเมื่อเป็นเศรษฐีธรรม ถ้าเป็นพระอรหันต์น่ะเออ สักแต่ว่า สักแต่ว่าเราพูดไม่ได้ เราพูดสักแต่ว่าไม่ได้ เพราะเรายังแสวงหาเงินกันอยู่

ไอ้คนที่พูดสักแต่ว่าเนี่ย เขาทิ้งเงินแล้วเขาถึงพูดสักแต่ว่าได้ อะไรก็สักแต่ว่า สักแต่ว่ามันเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีถ้าเขารู้จริงเห็นจริงแล้วเขาวางได้ตามเป็นจริงแล้ว มันถึงเป็นสักแต่ว่า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์เห็นไหมกับโมฆราชน่ะ เธอจงมองโลกเป็นความว่าง เห็นเป็นสักแต่ว่า เข้าใจตามความจริงทั้งหมด แล้วปล่อยมันตามความเป็นจริง นี่ใครพูด นี่พระพุทธเจ้าพูด พูดกับใคร พูดกับที่ผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่กำลังตามความป็นจริงที่จะให้มันปล่อยวาง ให้มันเป็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น

ไอ้เราเนี่ยอะไรก็สักแต่ว่า ข้าวก็สักแต่ว่ากูจะไม่กินน่ะ ข้าวก็สักแต่ว่า อะไรก็สักแต่ว่า แล้วมึงอย่ากินนะ ถ้ามึงพูดได้จริงทำได้จริง มึงก็พูดจริงๆ แล้วทำได้จริงๆ นะ ถ้าสักแต่ว่ามึงอย่ากินนะ ข้าวอย่ากิน เห็นสักแต่ว่ากินทุกวันเลย สักแต่ว่าเจอข้าววิ่งเข้าใส่เลย แล้วมันสักแต่ว่าจริงหรือเปล่าล่ะโน่นก็สักแต่ว่า อะไรก็สักแต่ว่า มันพูดอย่างนี้ไม่ได้

ถ้าคนปฏิบัติจริงรู้จริงเขาจะรู้จริงของเขา คนที่สักแต่ว่าคือคนที่กินข้าวอิ่มหนำสำราญแล้ว กู เออ สักแต่ว่าตอนนี้ไม่กิน ไม่กิน เนี่ยพูดถึงเพราะมันสักแต่ว่า ขบวนการของจิตมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพียงแต่เราไม่รู้ไม่เห็น แล้วพอไปรู้ไปเห็นทำไมมันเป็นอย่างนี้ เนี่ยใช้สติดูจิตไปอย่างนี้ แล้วทำไมจิตมันหยุดล่ะ มันหยุดได้อย่างไร มันไม่เห็นมันก็หยุด ไม่เห็นมันก็หยุดของมันอยู่แล้ว แต่ไม่เห็น หยุดแล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง

แต่นี่มันหยุดขึ้นมาเราไปเห็นเข้ามันก็ตะลึง พอตะลึงแล้วได้อะไรขึ้นมา เพราะอะไรเพราะถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย ปัญญามันจะไล่เข้าไป ความคิดนี้มาจากไหน แล้วความคิดขบวนการเนี่ยทุกข์เกือบตายเนี่ย เวลามันปล่อยแล้วก็สุขเนี่ย แล้วทำไมมันถึงคิดล่ะเห็นไหม โธ่ปุถุชนแล้วกัลยาณปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา ความคิดสิ่งกระทบกระเทือนจากใจตัวเอง เกิดขึ้นมาก็ไม่รู้จักอะไรกระทบกระเทือนจิตใจของตัวเอง

แต่เพราะว่ามีสติปัญญาไล่ตามเข้าไป เห็นความคิด ความคิดมันเกิดมาจากสิ่งเร้า สิ่งเร้าคือรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความนึกความคิดเสียงกระทบ รูป รส กลิ่น เสียง กระทบกับอายตนะเนี่ย จิตเนี่ยมันนึกคิดของมันเองโดยธรรมชาติของมันโดยสิ่งปลุกเร้า ไอ้สิ่งปลุกเร้านั้นน่ะมันทำให้ความคิดเกิด ความคิดนะมันดูสิอย่างเราน่ะวัฒนธรรม พวกเรามีวัฒนธรรม เราทำอะไรนั่งอยู่อย่างนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย พอมีงานมีการขึ้นมาเราก็ทำได้หมด อะไรก็ทำได้

จิตมันอยู่เฉยๆ ของมัน พอมีกระทบมันแสดงตัวทันทีเลย ความคิดเกิดแล้ว ความคิดเกิดมาด้วยโลภ โกรธ หลงด้วย ถ้ามันหลงโลภะ โมหะ มันยิ่งไปไกลเลย ถ้ามันเป็นโทสะมันยิ่งฟุ้งเลย แล้วทำไมมันไม่มี มันไปไหน ทำไมความคิดไม่เห็นมีเลย มันเกิดบนอะไรแต่มีสิ่งไรไปกระตุ้นมันพุ่งขึ้นมาเลย เอ้าแล้วความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากไหนเนี่ยเราก็ไม่เห็นมันใช่ไหม แต่พอสติตามมันทัน ตามมันทันมันก็หยุด อะไรมันกระทบมันก็ไม่คิด ไม่คิด ไม่คิดเพราะสติ

นี่ไงถึงบอกสติคือสติ สติเกิดจากจิตไม่ใช่จิต ตัวสติตัวยับยั้ง หลวงตาพูดประจำ สติเห็นไหมเหมือนฝ่ามือ ฝ่ามือสามารถกั้นน้ำทะเลได้เลย สติมันกั้นอารมณ์สิ่งกระทบฟุ้งซ่านจากใจกั้นไว้ได้หมดเลย แล้วนี่มีสติไหม มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าคนๆ เขารู้จริงนะ อันนี้มันแค่เบสิกแค่พื้นฐานที่เราจะก้าวหน้าต่อไป การประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นจากใจเรานี่แหละ ทีนี้ในเมื่อมันหยุดคิดได้อย่างไรล่ะ เหตุอะไรมันถึงเป็นเช่นนี้น่ะครับ ก็มันเป็นมนุษย์มันก็เป็นอย่างนี้เว้ย เอ้ามึงก็เป็นคน มึงก็มีความคิดแล้วมึงก็เป็นอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้ นี้เป็นธรรมชาติแล้วเราไม่ไปตื่นเต้น ไม่ไปตื่นเต้น นี่ไงวัตถุสิบต้นทุน

การจิตตภาวนาก็มาจากจิตเราเนี่ย จิตเราเนี่ยเอามาภาวนา แล้วถ้าเราหาจิตเราไม่เจอ เราไม่ไปถึงต้นขั้วของที่เกิดเหตุ ที่การเกิดและการตาย แล้วเราไม่เข้าไปชำระล้างที่การเกิดและการตาย มันจะเป็นศาสนาที่ไหน มันก็เป็นปรัชญาไง มันก็เป็นตรรกะนั่นน่ะ พอพูดตรรกะขึ้นมานะ แหม ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ อู๋ย คนนี่หลงกันมาเยอะ กลับไปสู่ธรรมชาตินั่นน่ะ ก็เอาไฟเผาแม่งให้ตายเดี๋ยวนี้แล้วกลับไปสู่ธรรมชาติ จนมีคนเข้าใจผิดนะ โลกนี้มีเพราะมีเรา

ก่อนหน้านี้มีทฤษฏีๆ หนึ่ง โลกนี้มีเพราะมีเราต้องทำลายเรา ลัทธิฆ่าตัวตาย เขากำหนดเลยนะ กำหนดว่าเนี่ยทุกข์มีเพราะมีเรา ทุกข์มีก็ต้องทำลายเรา กำหนดฆ่าตัวตายลัทธินี้ก็มี นี่ก็เหมือนกันในเมื่อถ้ามีเราก็ต้องฆ่าเรา พอบอกฆ่าเรา เนี่ยถ้าไปอ่านพระไตรปิฎกเข้าข้างตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าบอกฆ่ากิเลสประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าฆ่ากิเลส กิเลสคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจ แล้วฆ่ากิเลสหมดแล้วมันเหลือใจไว้ เห็นไหมพูดบ่อย ตัดป่าแต่ไม่ได้ตัดต้นไม้สักต้นหนึ่งน่ะ

พระไตรปิฎกพูดบ่อยมากเลย ตัดป่ารกชัฏ ความหมักหมมของใจ ทำลายหมดเลยนะแต่ไม่ได้ทำลายต้นไม้บิ่นหรือทำลายสิ่งใดๆเลย ตัดป่าหมดเลยแต่ป่าอยู่ครบ เวลาพระพุทธเจ้าสอนนะ เนี่ยพอมาพูดถึงธรรมะ วิทยาศาสตร์งงตายห่า พระพุทธเจ้าบอกให้ตัดป่า มันเอาแทรกเตอร์ไถเลย เสร็จแล้วนะเหลือแต่แผ่นสินราบหมดเลย ฆ่ากิเลสหมดแล้ว ฆ่าหรือเปล่า ไม่ได้ฆ่าเลย เพราะป่าไม่ใช่กิเลส เพราะมึงทำลายต้นไม้หมดก็เหลือแต่หน้าสินน่ะสิ เดี๋ยวสินจะโดนน้ำชะล้าง

เนี่ยพระพุทธเจ้า เป็นบุคคลาธิษฐานสอนไว้ในพระไตรปิฎก เนี่ยจะบอกเลยพระพุทธเจ้าบอกว่าก็ฆ่ากิเลสมันประเสริฐไง ทุกข์มีเพราะมีเรา จะฆ่าเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ฆ่ากิเลส ฆ่าตัวตน ฆ่าความยึดมั่นถือมั่น ฆ่าสิ่งที่เขาไปผูกพันกับความคิด ถ้าไปผูกพันกับความคิดหมดแล้ว สังโยชน์ไง ถ้าสังโยชน์ขาดแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย นี่พูดถึงว่าทำไมมันถึงหยุดคิด มันเป็นของมันอยู่แล้ว

แล้วถ้าปฏิบัตินะ มันจะเห็นอย่างเช่นที่ว่าทำความสงบของใจเข้ามาเนี่ย เครื่องยนต์มันจะแก้เครื่องยนต์ของมันเอง จิตมันจะแก้จิตของมันเอง ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม เนี่ยหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าให้ดูจิต ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต ดูจิต จนจิต จิตมันเป็นตัวพลังงานเห็นไหม อาการของจิตคือเครื่องยนต์ใช่ไหม แล้วไอ้ตัวจิตเนี่ยมันจะไปแก้เครื่องยนต์ของมันเอง จะไปแก้เครื่องยนต์ของมันเอง ถ้าไปแก้เครื่องยนต์ของมันเองเนี่ยสิ่งใดชำรุดเสียหายมันจะไปแก้ของมันเอง เพราะมันเห็นชัดเจนมาก

ถ้าจิตสงบเข้ามาจนมีหลักมีเกณฑ์นะ ถ้ามันหยุดเห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยเห็นดูความคิดเข้าไป เนี่ยความคิดมันเกิดขึ้นมาจากอะไร มันดับที่นั่น มันหยุดๆๆๆๆ หยุดปั๊บคิดอีกก็ตามไป หยุด คิดอีก เดี๋ยวก็หยุด ไอ้ความหยุดอย่างนี้มันจะไปเพิ่มกาลเวลา เพิ่มความยาวขึ้นมา ถ้ามันหยุดได้นานขึ้นนี่คือสมาธิไง ถ้ามันหยุดได้สั้นสมาธิมีน้อย ถ้ามันหยุดมีสติตามขึ้นมาเนี่ย ระยะห่างของความคิดมันจะเริ่มห่างขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เดิมพอหยุดปั๊บเดี๋ยวก็คิดอีก พอคิดอีกคือว่ามันเร็วมาก

แต่พอเราปัญญาเข้าไปเราเห็นโทษของมันเอง พอเห็นโทษของมันเองสติมันตามทัน เข้าไปเรื่อยๆ เห็นไหมสติมันตามความคิดเข้าไปเรื่อยๆ มันก็ควบคุมความคิดได้ ควบคุมพลังงาน ควบคุมไฟฟ้านั้นอยู่ให้อยู่ในกระแส ให้ไฟฟ้าเข้าเนี่ยไม่เข้าไปสู่เครื่องยนต์กลไก ไม่ให้ไฟฟ้าเนี่ยเข้าไปสู่เครื่องการใช้งานของมัน ในเมื่อไฟฟ้ามันเข้าไปสู่เครื่องของมัน ไฟฟ้ามันก็จะรวมตัวไฟฟ้าให้ไฟฟ้าเนี่ยมันสถิตในตัวของมัน เนี่ยความหยุดบ่อยครั้ง บ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้าเนี่ย เนี่ยตัวจิตมันจะหยุด มันมีพลังงานของมันเห็นไหม

ในมหายานก็บอกเห็นไหมน้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งแต่มันไหลเห็นไหม มันหยุดมันมีพลังงานของมัน ไม่ใช่น้ำเน่า อ้อ น้ำเน่านะ น้ำนิ่ง น้ำนิ่งก็น้ำตาย น้ำตายก็น้ำเน่า แต่ถ้ามันหยุดของมันเห็นไหมพอมันหยุดของมัน แต่มันมีพลังงานของมันเห็นไหม ไฟฟ้ามันสถิตของมันน่ะแล้วมันมีพลังงานไหม ไฟฟ้าไปจับมันช็อตตายนะ เนี่ยมันมีพลังงานของมัน มันหยุดขึ้นมาเพราะมันหยุด มันไม่ใช่มันหยุดตาย เนี่ยเวลาพูดเป็นวิทยาศาสตร์มันต้องหยุด หยุดต้องตายนะ หยุดหมดเลย โอยว่างๆ ว่างๆ ไม่มีพลังงานเลย ไม่มี มีแต่สายไฟไงพาดอยู่แต่ไม่มีไฟฟ้า เนี่ยด้วยความคิดของเขา

แต่ถ้ามีสติเพราะอะไร เพราะจิตนี่มันมหัศจรรย์น่ะ จิตนี้มันมหัศจรรย์มากเพราะมันเป็นสันตติ มันไม่เคยขาดเว้นวรรค ไฟฟ้าเนี่ยนะไดปั่นไฟเนี่ยหยุดมันก็จบ ไฟมันก็ไม่มี ฟ้าเนี่ยนะ หยุดเครื่องนะไฟฟ้าจะไม่มีเลย แต่จิตนี่หยุดไม่ได้ จิตนี่หยุดไม่ได้ จิตไม่มีการหยุด ถ้ามันสงบเข้ามานะคือมันหยุดจากสัญญาอารมณ์แต่มันจะเข้าไปอยู่ในตัวของมันเอง จิตนี่ไม่มีวันหยุดตายจากมนุษย์ไม่มีเว้นวรรคเกิดทันที เกิดเป็นสัมภเวสี เกิดเป็นภพชาติต่างๆ จิตไม่มีเว้นวรรค ขณะตายไปยังไม่มีเว้นวรรค แล้วปัจจุบันยังไม่ได้ตายมันจะหยุดได้ยังไง คนหยุดคือคนไม่มีชีวิต นั้นจิตมันไม่ได้หยุด มันหยุดที่ความคิด

ความคิดสามัญสำนึกของมนุษย์เนี่ยขันธ์ ๕ เนี่ย ขันธ์ ๕ ที่เป็นธรรมชาติที่สื่อกันเนี่ยมันหยุดแต่จิตไม่ได้หยุด เพราะจิตมันเป็นสันตติเห็นไหม น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่ง ดูสิดูมหาสมุทรเห็นไหม ดูกระแสน้ำอุ่นสิ น้ำอุ่น น้ำอุ่นที่กระแสมันพัดไป แล้วเห็นไหมเราเห็นกระแสน้ำในมหาสมุทรไหม ในมหาสมุทรที่มันเคลื่อนไหว ที่มันกระแสน้ำที่มันเปลี่ยนแปลงนี่ทำให้เกิดแพลงตอน เกิดสรรพสิ่งมีชีวิต เกิดสัตว์สัตว์น้ำเกิดต่างๆ เราเห็นไหม

จิตก็เหมือนกันไม่มีวันหยุด แต่มันหยุดที่ความคิด มันหยุดที่ความคิดที่มันออกมาเห็นไหมพอมันหยุดของมัน พอมันหยุดของมันเห็นไหม เรามีปัญญาไล่เข้าไปไล่ความคิดเนี่ย ความคิดมันมาจากไหน ความคิดคิดด้วยอะไร ถ้าสติปัญญาตามมันทัน มันหยุดบ่อยครั้ง บ่อยครั้งแล้วกระแสความหยุดนี่มันดีขึ้น ดีขึ้นจนมันเป็นเอกัคคตารมณ์มันตั้งมั่นของมันได้ มันตั้งมั่นเพราะเหตุใด มันตั้งมั่นเพราะเรามีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญามันไล่ความคิด เห็นโทษของมันใช่ไหม

ถ้าเห็นโทษของมันเนี่ยของร้อน เราจะจับทำไม เราก็หลบเข้าสู่ที่เย็น อยู่ที่เย็นจิตมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นผลงานขึ้นเรื่อยๆ เห็นสุขเห็นทุกข์ เพราะเห็นทุกข์มันถึงปล่อยทุกข์มาอยู่ที่ความสุข พอเห็นมันปล่อยความสุข มันปล่อยความสุขเนี่ย ทุกคนมาถามหมดเนี่ย ทำยังไง ทำยังไง มันถามทำยังไงเพราะทำไม่เป็น แต่พอมันทำเพราะมันเป็นแล้วนะ ไม่ต้องบอกเสียเวลา เหมือนกันพูดไปแล้วก็เหมือนกัน เสียเวลานั่งฟัง

เนี่ยพอมันทำเป็นแล้วเนี่ย มันควบคุมจิตได้ พอมันทำเป็นแล้วที่มันหยุดๆๆๆ หยุดเนี่ยมันเร็วขึ้นเพราะมันเห็นโทษเห็นภัยของมันทั้งหมด พอมันทำเป็นเห็นไหม รูป รส กลิ่นเสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเราทำลายรูป รส กลิ่น เสียงทั้งหมดเห็นไหม มันก็เป็นกัลยาณปุถุชน จากปุถุชนคนหนาเป็นกัลยาณปุถุชนคนพร้อม คนพร้อมเพราะมันควบคุมจิตได้ เพราะจิตมันตั้งมั่น พอจิตมันตั้งมั่น เนี่ยจิตเห็นอาการของจิต

พอจิตตั้งมั่นแล้วเนี่ยวิปัสสนาเกิดตรงไหน เกิดตรงเวลาจิตเนี่ยมันเห็นอาการ เห็นจิตจับจิตเนี่ย พอจิตจับจิตได้เนี่ย จิตมันจับขันธ์ เหมือนส้มกับเปลือกส้ม ถ้าส้มเปลือกส้มแล้วเนี่ย มันเปลือกส้มนะ เนี่ยบอกอธิบายมาถึงตรงนี้เพราะเหตุใด จะอธิบายมาถึงตรงนี้ให้เห็นว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วเพราะเหตุใดมันถึงเป็นอย่างนี้ เนี่ยจิตหยุด จิตหยุดเนี่ยมันแค่หยุดเฉยๆ หยุดเฉยๆ แล้วมันก็มหัศจรรย์ขนาดนี้ แต่ถ้ามันหยุดแล้วมันไล่เข้าไปเนี่ย ไอ้นี่แค่สมถะนะ ไอ้แค่นี้แค่ทำสมาธิ

แล้วดูถูกกันนักดูถูกกันหนา สมถะโอโหยน่ากลัว เห็นนิมิตกลัวไปหมดเลยเพราะกลัวไปหมดเลยไง มันจุดสตาร์ทไม่เป็น เริ่มต้นไม่เป็น ภาวนาไม่เป็น ทำอะไรกันไม่ได้เลยเพราะไปกลัว ไปกลัวตอนจุดเริ่มต้นกันอยู่เนี่ย สมถะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ ถ้าไม่มีสมถะคือมันไม่ไปสู่จิต เพราะมันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันตั้งมั่น มันมีจิตของมันเนี่ยมันคือสมาธิ คือสมถะ แล้วถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะเห็นว่าจิตเนี่ย พลังงานเนี่ยความคิดที่มาเกิด เพราะตัวพลังงานเนี่ยมันเสวยอารมณ์

มันเสวยอารมณ์เพราะสันตติ จิตเนี่ยมันมีชีวิตมันตายไม่ได้ พอมันตายไม่ได้เนี่ยธรรมชาติของมันเนี่ยมันฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมชาตินะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สัจธรรมมันเหนือธรรมชาติ พอมันเหนือธรรมชาติเนี่ยมันสามารถทำให้พลังงานกับความคิดโดยสามัญสำนึกโดยธรรมชาติเนี่ยมันแยกออกจากกัน พอมันแยกออกจากกันเนี่ยมันแยกออกจากกันด้วยขั้นของสมถะ แยกออกจากกันด้วยสติปัญญา

พอแยกจากกันด้วยสัจธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรามีสัจธรรมเรามีสติสัมปชัญญะพอสมควร เห็นการออกไปสู่สามัญสำนึกความเป็นธรรมชาติของมัน ความเป็นธรรมชาติของมันคือมันจะเกิดความคิดไง คนเราไม่มีความคิดไม่ได้เพราะของมีอยู่ ของมันมีอยู่นะ เนี่ยเราออกมานั่งกันอยู่เนี่ยเรามีเสื้อผ้าอาภรณ์แต่งตัวออกมานั่งกันอยู่เนี่ยนะ เราจะเปลือยกายมานั่งกันอยู่นี่ไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งผิดธรรมชาติ สิ่งที่เราอยู่กันได้คือเราออกมาเนี่ยเราต้องมีเครื่องนุ่งห่มออกมากันใช่ไหม

ธรรมชาติของจิตเนี่ยมันมีความคิดเป็นอาภรณ์ของมันนุ่งห่มอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาเราไปเปลือยกายมาน่ะ เราไปทำให้มันเป็นเอกเทศขึ้นมาเนี่ยแล้วมันจะอยู่ของมันได้ไหม มันอยู่ของมันไม่ได้ใช่ไหม ถ้าอยู่ของมันได้มันเสวยอารมณ์คือมันสู่อาภรณ์ของมัน คือสู่ความคิดของมัน พอมันเห็นจิตเข้าสู่ความคิดของมันเนี่ยเราเห็นทั้งหมด เพราะเราเห็นทั้งหมดเราจับตรงนี้ได้ไง พอจับตรงนี้ได้มันก็มีจิตแก้จิตใช่ไหม

จิตแก้จิตคือตัวพลังงานของจิตเนี่ยมันออกมาวิปัสสนา มันออกมาแยกแยะ ออกมาแยกแยะเนี่ยอารมณ์หนึ่ง ความรู้สึกหนึ่งเนี่ย มันประกอบไปด้วยเพราะอารมณ์หนึ่งคือรูป ความรู้สึกหนึ่งคือรูปหนึ่ง รูปหนึ่งในรูปหนึ่งมันมีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณเนี่ยมันเข้าไปแก้ไข คือมันเข้าไปแยกแยะออก แยกแยะออกขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นสิ่งใด

นี่ไงจิตแก้จิตไง วิปัสสนามันเกิดตรงนี้ไง คุยนักคุยหนาพื้นฐานเบสิคแม่งยังไม่รู้เลย เนี่ยมันถึงได้ว่าจิตเห็นอาการของจิต หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ข้อที่สามไง ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต พอจิตเห็นอาการของจิตแล้ววิปัสสนามัน วิปัสสนาคือใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิแก้ไขแยกแยะมันเห็นไหม มันจะแยกแยะของมันไป เนี่ยมันเป็นอย่างนี้ของมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่คนจะรู้จะเห็นมันหรือเปล่าเพราะไม่รู้ไม่เห็นของมันไง มันหยุดๆ ที่ความคิด

เราถึงใช้คำว่าตัดรากถอนโคนเห็นไหมเพราะการกระทำของคน ที่การกระทำเนี่ยมันมีขั้นตอนของการกระทำของมัน ถ้าเราไม่มีขั้นตอนการกระทำของมันเลยเนี่ย ไม่มีขั้นตอนการกระทำของมันแล้วนะยังปฏิเสธด้วย ปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธสมาธิ พอปฏิเสธสมาธิมันก็ถอนรากแก้ว ถอนรากแก้ว พอถอนรากแก้วขึ้นมาต้นไม้อยู่ได้ไหม ตายห่าหมด

ไอ้นี่มันถอนจิตเลยนะ ถอนจิตก็เพราะไม่มีสติ ไม่มีสติ ไม่กลับไปสู่ฐีติจิต ไปสู่ต้นเหตุการเกิดตาย ต้นเหตุการเกิดตายคือภพ คือภวาสวะคือภพคือตัวจิต แล้วถ้ามันไปดูเห็นไหม หนอ… อารมณ์ส่งออกหมดนะ สัญญาอารมณ์สร้างภาพ สร้างอารมณ์ อารมณ์ว่างขึ้นมาให้ใจ พอสร้างอารมณ์ให้ใจ มันก็ถอนจากตัวใจไปอยู่ที่อารมณ์ เนี่ยเราถึงว่ามันถอนรากถอนโคนคุณงามความดีในการประพฤติปฏิบัติทั้งหมดเลย แล้วพอมันถอนรากถอนโคนแล้วเนี่ย ผลที่เกิดขึ้นมันไปเกิดบนนู่นอยู่อวกาศนู่น ตัวเองไม่ได้อะไร

พอตัวเองไม่ได้อะไรแล้วพอไม่ได้อะไร มันสบายนะ ไอ้คำนี้ได้ฟังทุกที่แล้วมันเขาบอกว่ามันเป็นผลตอบแทนของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เอ้าก็มันดูแล้วมันสบาย มันดี มันดี เนี่ยมันดีไปเดี๋ยวจะเข้าข้อสอง มันหยุดเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของอย่างนี้นะมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติแต่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ เป็นธรรมชาติแต่ไม่ใช่ธรรม มันเป็นธรรมชาติของจิตของวิญญาณของภพชาติแต่ไม่ใช่ธรรม

ถ้าเป็นธรรมคือสิ่งที่เข้าไปรู้มันเข้าไปเห็นมัน จะบอกว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วไม่มีใครรู้ แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ด้วยเงื่อนไขอย่างนี้ ด้วยเงื่อนไขของจิตวิปัสสนาอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้ารู้ทันหมดไง แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนไว้ แล้วพวกเราก็ดัดจริต อ่านตำราพระพุทธเจ้าแล้วบอกกูรู้ ดัดจริต ดัดจริตไปอ่านตำราของพระพุทธเจ้าแล้วบอกว่ากูรู้ ก็รู้ทฤษฎีไง รู้ที่ตำราพระพุทธเจ้าเขียนไว้ แล้วดัดจริตว่ารู้ มันก็เลยไม่รู้อะไรเลย

แต่ถ้ารู้มันก็มีอาการขึ้นมายืนยันอย่างนี้ แล้วมันจะไม่สงสัยว่าเหตุใดมันถึงเป็นเช่นนี้มันเป็นอยู่แล้วตั้งแต่เอ็งยังไม่รู้ เอ็งไม่รู้มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพอเอ็งมารู้เข้าเอ็งก็ตื่นเต้น แล้วตื่นเต้นขนาดนี้แล้วเอ็งต้องทำต่อไปเรื่อยๆ

ถาม : อันนี้นี่ข้อที่หนึ่งนะ เหตุใดดูจิตแล้วจิตมันถึงหยุด นี่คือความคิดมันหยุดได้ การนั่งสมาธิไปเนี่ยๆ เห็นไหม การนั่งสมาธิไปแต่เดิมก็กำหนดพุทโธ ใช้ลมหายใจ แล้วพอนานปีเข้า ต่อมาภายหลังเมื่อได้ทำมากขึ้นและได้รับความสงบมากขึ้นตามลำดับ ก็ได้เปลี่ยนแนวทางมาใช้การดูจิต นี่ในการดูจิต วิธีการในการดูจิต ในการดูจิตวิธีการนี้กระผมได้รับความสงบเร็วขึ้นและทันมัน มันทันไปด้วยความรู้สึกตัวเอง ทัน ความคิดตัวเองได้ไม่เผลอง่าย มีสมาธิที่มั่นคงมากขึ้น แต่กระผมนั่งสมาธิมาหลายปีแล้ว ไม่มีข้อเท็จจริงว่ากระผมเคยเห็นนิมิต

หลวงพ่อ : อันนี้มันเป็นความหลง ทั้งที่คนเขียนเนี่ยหลง นี่ตอบปัญหานะ ไม่ใช่ด่าใคร เดี๋ยวไอ้คนฟังจะหาว่า แหม ผมถามปัญหาแล้วด่าผมด้วย ไม่ได้ด่า จะบอกว่าเนี่ยมันหลง หลงคำว่าหลงอยู่ตรงไหน

ถาม : แต่เดิมผมใช้บริกรรมพุทโธกับใช้ลมหายใจมาโดยตลอด ทำมานานหลายปี ต่อมาภายหลังเมื่อมีการปฏิบัติมากขึ้น มีความสงบมากขึ้น ก็ได้เปลี่ยนแนวทางมาดูจิตนี่ไง แล้วพอดูจิตแล้วเนี่ยกระผมมีความสงบเร็วขึ้น

หลวงพ่อ : เนี่ยตรงนี้ที่ว่าหลง หลงตรงนี้

ถาม : ในเมื่อมาดูจิตแล้วกระผมมีความสงบเร็วขึ้น ทันมัน มีความคิดของตัวเองไม่เผลอง่าย มีสติมั่นคงเนี่ยมีสติมั่นคง

หลวงพ่อ : ที่ว่าหลง หลงตรงนี้ หลงตรงที่ว่ามีสติมั่นคง มีสมาธิมั่นคงมากขึ้น

ถาม : แต่แม้กระผมจะมีสมาธิมาหลายปีแล้ว ก็ไม่มีข้อเท็จจริงว่ากระผมได้เห็นนิมิตเลย

หลวงพ่อ : เห็นไหม มีสมาธิเร็วขึ้น ไอ้เนี่ยกิเลสมันยุ กิเลสมันยุว่าไปพุทโธมันลำบาก ถ้ามาดูจิตมันง่ายขึ้น เป็นสมาธิเร็วขึ้น มั่นคงขึ้น เห็นไหมมันหลงตรงนี้ มันหลงตรงนี้เพราะอะไร เพราะมาดูจิตมันง่ายขึ้นเร็วขึ้นเนี่ย กิเลสมันชอบไง เห็นไหมตอนเช้าพูดเรื่องมดน่ะ มดมันแบ่งเป็นสองพวก พวกดีและพวกชั่ว มันขัดแย้งกัน เวลาพุทโธ พุทโธเนี่ยมันจะบังคับให้ชั่วมาดีให้หมด นี้พอจะบังคับชั่วมาดีให้หมดใช่ไหม

พุทโธ พุทโธนี่พุทธานุสติ แม้แต่จิตใจเรามีกิเลสก็จริงอยู่ แต่เรานึกถึงพุทโธ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า เรานึกถึงพุทธานุสติ นึกถึงความดีตลอด พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา พระพุทธเจ้าเป็นผู้เป็นตัวแทนสิ่งดีงาม พุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ยพยายามบังคับใจเราไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ไปอยู่กับความดี มันเพราะไปอยู่กับความดี มันดีขึ้น พอดีขึ้นหน่อยเห็นไหม

ถาม : ปฏิบัติมาหลายปี พอตอนหลังเนี่ยการปฏิบัตินี้มากขึ้น ผมก็เลยมาดูจิต

หลวงพ่อ : เห็นไหม พอดูจิต กิเลสเห็นไหม พอบังคับให้กิเลสมาอยู่กับพุทโธ พุทโธเนี่ยมันมีพื้นฐานอันนั้น พอมีพื้นฐานอันนั้น พอบอกว่ามาดูจิตแล้วมันสงบเร็วขึ้น เร็วขึ้นสิ เร็วขึ้นเพราะอะไร เพราะไม่ต้องทำอะไรเลยนะ ปล่อยให้ขี้ลอยน้ำ มันก็สบายๆ ไง เป็นสมาธิเร็วขึ้นๆ ต้องกลับไปที่พุทโธ ถ้าไม่กลับไปที่พุทโธก็ต้องเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

จะดูเฉยๆ จะปล่อยให้สงบเร็วขึ้น สงบเร็วขึ้นเนี่ย สงบเร็วขึ้นก็ดีนะมาหาเราเร็วๆ สงบเร็วขึ้นคือเราคิดเองหรือมันเป็นจริง เราไม่เชื่อนะว่าสงบเร็วขึ้นดีขึ้นน่ะ สงบเร็วขึ้นหรือดีขึ้นเพราะเราทิ้งพุทโธมาแล้วเนี่ย มันไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องสบาย มันก็ปล่อยวางประสามันน่ะ แล้วปล่อยวางอย่างนี้เหมือนดูจิตนี่แหละ เหมือนกันที่ว่าทำไมจิตมันหยุดได้นี่แหละ

ในเมื่อเราไม่ต้องใช้ทุนของเราเลย ในเมื่อเราไม่ต้องใช้เงินของเราเลยเนี่ย เรามีเงินอยู่บาทสองบาทเราก็รวยแล้ว แต่ในเมื่อเราต้องใช้เงินทองเพื่อดำรงชีวิต เงินบาทสองบาทจะพอดำรงชีวิตเราไหม ในเมื่อเราไม่ต้องใช้เงินดำรงชีวิตเลยเนี่ย เราจะมีบาทสองบาทในกระเป๋าเราก็อุ่นใจ กูมีตังค์ กูมีตังค์เพราะกูไม่ได้ใช้มัน กูไม่ต้องใช้มัน

เราจะบอกว่าถ้าจิตมันสงบแล้วออกวิปัสสนาคือการใช้เงิน การออกวิปัสสนาการใช้ปัญญา มันต้องใช้สมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้ามันใช้สมาธิเป็นพื้นฐานคือเราเริ่มใช้จ่ายออกไป ถ้าเราใช้จ่ายออกไป เงินบาทสองบาทพอใช้ไหม แต่ถ้าเราไม่ต้องใช้จ่ายเลยเนี่ย เงินบาทสองบาทอยู่ในกระเป๋าเนี่ย โอ้โฮ มหาเศรษฐีมีตังค์ มีตังค์ ไม่ต้องใช้จ่ายเลย สงบเร็วไง คำว่าสงบเร็วหรือสงบไม่เร็วเพราะไม่มีการใช้จ่าย ไม่มีการทดสอบ รู้ได้อย่างไรว่าสงบเร็วหรือสงบไม่เร็ว ไม่เชื่อตรงนี้ไง

ไม่เชื่อเพราะไม่ได้พิสูจน์เลยว่าตัวเองสงบจริงหรือสงบไม่จริง แล้วมันใช้ประโยชน์จริงหรือประโยช์ไม่จริง ถ้ามันใช้ประโยชน์จริงในเมื่อการดำรงชีวิตของเราเนี่ย เราต้องใช้จ่ายของเราตลอดเวลา เนี่ยเงินของเราเนี่ยเงินบาทสองบาท เราจะดำรงชีวิตของเราได้ไหม ถ้าดำรงชีวิตไม่ได้เราต้องหาเงินเพิ่มมาไหม ถ้าเราจะหาเงินเพิ่มมาเนี่ย แล้วมันดูๆๆๆ อย่างนี้มันจะได้เงินเพิ่มไหม

แล้วพุทโธๆๆ มันได้เงินเพิ่มตรงไหน พุทโธ ๆๆๆๆ พุทโธเนี่ยมันมีการเคลื่อนไหว มันมีคำบริกรรม จิตมันเกาะอยู่ที่พุทโธเนี่ย ไอ้ตัวพุทโธเนี่ยมันตัวกระดานหก กระดานหก เอาให้จิตเข้าสู่สมาธิ เอาให้จิตเนี่ยเข้าไปนอนอยู่กับกองเงินกองทอง กองเงินกองทองคือพลังงาน น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งแต่ไหล ถ้าจิตมันสงบเนี่ยมันสงบของมัน แต่มันมีการเคลื่อนไหวของมัน ถ้าจิตพุทโธๆๆ เนี่ยมีการเคลื่อนไหวของมัน ไปดูเฉยๆ แล้วไปเพ่งเฉยๆ เนี่ยขอนไม้กูดีกว่านะ ขอนไม้กูเนี่ยมันมีคนมานั่งได้พักผ่อนได้ ขอนไม้ใครมานั่งก็ยังมานั่งพักผ่อนได้นะ ขอนไม้ไม่มีชีวิตนะมึง

ไอ้นี่จิตมีชีวิตแท้ๆ มีการเคลื่อนไหวแท้ๆ แล้วไปกำหนดอยู่อย่างนี้มันได้ประโยชน์อะไร เพียงแต่ว่าเนี่ยเพราะมันมีพุทโธเป็นพื้นฐาน พอมีพุทโธเป็นพื้นฐานเนี่ยเห็นไหม พอมาดูจิตแล้วดีขึ้น ดีขึ้นเนี่ย ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ คนทำงานแล้วบอกว่าไม่ดี ไอ้คนไม่ทำงานแล้วบอกว่าดีเนี่ยยังไงกูก็ไม่เชื่อ คนไหนทำการทำงาน คนไหนขยันหมั่นเพียร คนนั้นต่างหากถึงเป็นคนดี คนไหนขี้เกียจขี้คร้านนอนจมอยู่กับขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง คนนั้นเป็นคนดีไม่ได้

ดูเฉยๆ เป็นคนดีไม่ได้ ดูเฉยๆ ไม่ได้ ต้องปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญาเท่านั้น ต้องมีการกระทำ ต้องมีคำบริกรรม ต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันถึงจะเป็นจริงขึ้นมา ถึงบอกว่าเนี่ยหลง ถ้าหลง..

หลวงพ่อ : ตอบปัญหานะ เดี๋ยวกลัวเขียนมารอบสองต้องตอบให้เคลียร์ คำว่าหลงหมายถึงว่า พอเราทิ้งพุทโธมาเนี่ยมันไม่มีคำบริกรรม คนเราจะเปลือยกายไม่ได้ คนเราจะต้องมีอาภรณ์เครื่องนุ่งห่ม จิตมันต้องมีที่ยึดที่เกาะ จะดูเฉยๆ ปล่อยเฉยๆ นี่ตอบชัดๆ เลยนะเพราะกลัวถามมาอีกไม่มีเวลา

ถาม : ฉะนั้นถึงบอกตั้งสมาธิแล้วเนี่ย แล้วผมมั่นใจว่า...

หลวงพ่อ : นี่มันจะเข้ามาตรงนี้เห็นไหม

ถาม : ในการทำสมาธิกระผมขอกราบเรียนอาจารย์ว่า สมาธิมี ๓ ระดับ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ผมมั่นใจว่าผมได้อุปจารสมาธินั้นแล้ว

หลวงพ่อ : ไอ้ความมั่นใจก็ส่วนความมั่นใจอันหนึ่ง ไอ้ความมั่นใจได้อุปจารสมาธิเนี่ย คำว่าอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเนี่ย มันเป็นระดับของสมาธิ ฉะนั้นไอ้เรานี่น่ะแม้แต่อุปจาระ เวลาเข้าไปแล้วเนี่ยถ้าใช้พลังงานไปแล้ว เวลาออกมาแล้ว มันใช้งานไปแล้ว เวลาออกเดินปัญญาแล้วนะ พอมันใช้งานมากเนี่ยมันเริ่มฟั่นเฟือน คำว่าใช้ปัญญานี่ อันนี้มันยังไม่ได้ใช้ปัญญา

แต่เดี๋ยวข้อต่อไปมันจะเกิดการใช้ปัญญา ไอ้ข้อที่สี่เนี่ย ไอ้ที่ว่าปัญญามันเกิด นี่ปัญญามันเกิดๆ อย่างนี้ เขามีปัญญาเกิดอยู่เหมือนกัน แต่เกิดแว้บๆ แล้วตกใจไม่รู้ว่าเนี่ยคือปัญญา แต่ไอ้สิ่งที่ทำอยู่นี้เขาพอใจอยู่กับตรงนี้ คำว่าพอใจอยู่ตรงนี้คือว่าเนี่ย สมาธิมี ๓ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเนี่ย ไอ้เนี่ยมันเหมือนกับพูดเมื่อกี้เรื่องจิตนี้เป็นธรรมดา เวลาเข้าสมาธินี้ลึก ตื้น หยาบ ละเอียด มันก็เป็นกำลังเป็นธรรมดา

มันเหมือนหมอเลย หมอเนี่ยนะเวลาจะเช็คคนไข้เนี่ย คนไข้เนี่ยร่างกายแข็งแรงแค่ไหน คนไข้เนี่ยร่างกายอ่อนแอ ร่างกายเข้มแข็ง โรคภัยไข้เจ็บเนี่ยมีมากมีน้อยนี่ต่างกัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเนี่ยมันก็เปรียบเหมือนกับความเข้มแข็ง อ่อนแอของ กำลังของจิต ถ้าขณิกสมาธิเนี่ยจิตใจก็มีหลักมีเกณฑ์อยู่ส่วนหนึ่ง อุปจารสมาธิเนี่ยคือกำลังที่ออกทำงานได้ อัปปนาสมาธิคือพักผ่อน คือเข้าไปสู่ฐีติจิตคือพักผ่อน พักผ่อนเนี่ยแต่เข้าไปพักผ่อนเนี่ยเข้าไปถึงรากเหง้าของจิตเนี่ย มันเข้าไปตรวจสอบจริตนิสัยได้

ถ้าจิตมันมีอำนาจวาสนานะ พอมันเข้าไปถึงระดับนี้นะ มันจะเห็นข้อมูลเดิมอดีตชาติเนี่ยมันเห็นได้ มันเข้าใจได้ แต่นี้ถ้ามันยังเข้าใจไม่ได้ มันเข้าไปหาไม่ได้นะ จริตนิสัยมันก็ถอยออกมา ถอยออกมาที่อุปจารสมาธิ ตอนที่อุปจารสมาธินี่คือออกใช้งาน ทีนี้ออกใช้งานนี่ ทีนี้เวลาทำสมาธิแล้วนี่ ทำไมเราไม่เห็นกาย ทำไมเราไม่เห็นเวทนา เราถึงบอกกำหนดให้มันเข้าไปถึงอัปปนาคือว่าให้มันลึกไปกว่านั้น เข้าไปตรวจสอบ ไปตรวจสอบจริตนิสัยของเรากันเองว่าเราควรจะทำงานกันอย่างใด นี่ที่เวลาเราใช้หลักนะ เราใช้หลักนี้

ฉะนั้นจะเข้าอัปปนาสมาธิหรือไม่เข้าอัปปนาสมาธิเนี่ย มันไม่ใช่ประเด็น การเข้าถึงอัปปนาสมาธินี่หรือไม่เข้าอัปปนาสมาธิไม่ใช่ประเด็นนะ ไม่ใช่ว่าถ้าต้องเข้าอัปปนาเนี่ยสุกขวิปัสสโกเนี่ยชำระกิเลสไม่ได้เลย เพราะสุกขวิปัสสโกไม่ได้เข้าอัปปนาสมาธินะ สุกขวิปัสสโกคือพระอรหันต์นะ ถ้าบอกว่าต้องเข้าถึงอัปปนาสมาธิเนี่ย พระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสโกแทบจะเกิดไม่ได้เลย จะว่าเกิดไม่ได้เดี๋ยวจะว่ามากไป แทบจะเกิดไม่ได้เลย

ฉะนั้นสุกขวิปัสสโก เขาภาวนาของเขาไปแล้วมันปัญญาจะเกิดพร้อมกัน แล้วปัญญาอบรมสมาธิจะไปเกิดพร้อมกันที่เวลามรรคสามัคคี มันจะรวมตัวของมันไป แต่ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิเนี่ยมันจะเป็นสมาธิอบรมปัญญา ฉะนั้นสมาธิอันเนี้ยมันเป็นโครงสร้าง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิเนี่ย มันเป็นโครงสร้างของสมาธิ ของกำลังจิตที่เราจะพิสูจน์กัน ตรวจสอบกัน

ถ้าคนมีความเข้มแข็งร่างกายเข้มแข็งขึ้นมาเนี่ย เวลาไปเช็คร่างกาย ตรวจร่างกายเนี่ยมันตรวจสอบได้ง่าย แต่ถ้าคนอ่อนแอเห็นไหม หนึ่งอ่อนแออยู่แล้ว สองโรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บคือกิเลส ถ้าเรามีโรคภัยไข้เจ็บมากด้วย ร่างกายอ่อนแอด้วยนะ อู๋ย ยิ่งรักษายากเลย ฉะนั้นไอ้ตรงนี้ไม่เป็นประเด็น ฉะนั้นมั่นใจในสมาธิแล้วเพราะเมื่อกี้พูดไปว่าหลงไง แล้วเขาบอกเขามั่นใจตรงนี้ไง แล้วบอกว่าถ้าหลงแล้วตรงนี้มันจะแตกต่างกันยังไง

ถ้าไอ้ตรงนี้มันขณิก อุปจาระ อัปปนาเนี่ยพอจิตมันลงไปแล้ว ถ้ามันออกรู้ออกเห็นต่างๆ เนี่ย เพราะว่าคำว่าสมาธิเนี่ย คำว่าอุปจารสมาธิเนี่ย อัปปนาสมาธิเนี่ย เราเอาไว้เป็นทุนเป็นทุนเกื้อหนุนให้ปัญญาออกในโลกุตตรปัญญา คือปัญญาที่ฆ่ากิเลสมันต้องอาศัยสมาธิเนี่ย ตัวสมาธิเนี่ยมันจะเป็นตัวแยกระหว่างปัญญาที่เป็นโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา

ปัญญาที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันเนี่ยเขาเรียกโลกียปัญญา โลกียปัญญาเนี่ยมันเกิดโดยสามัญสำนึก เกิดโดยธรรมชาติ คือเกิดโดยไฟฟ้าเนี่ยมันจะแสดงตัวมันออกมาตลอดเวลา ความคิดเรามันมีตลอดเวลา พอเราไปศึกษาเห็นไหมทางวิชาชีพ ทางวิชาการต่างๆ เราศึกษาทางวิชาการต่างๆ เรามีความรู้อันนี้ขึ้นมา ความรู้อันนี้มันจะเป็นทุน มันจะเป็นต้นทุนใช่ไหมพอต้นทุนขึ้นมาเนี่ยความคิดเรานี่มันจะจินตนาการเห็นไหม เอาความคิดของเราเนี่ยแล้วต่อยอด ต่อยอดความคิดมันจะแตกกระจายออกไปเห็นไหมนี่คือวิชาชีพ คือสิ่งทางวิทยาศาสตร์ ที่มันจะพัฒนาการของมันไป

เนี่ยเพราะอะไร เพราะมันเกิดโดยสามัญสำนึก เกิดโดยธรรมชาติ เกิดโดยข้อมูลของจิตอยู่โดยธรรมชาติของมัน นี้เรากำหนดพุทโธ พุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตจะส่งเข้ามาเป็นฐานเดิมของมัน ถ้าฐานเดิมของมันแล้วมีสติปัญญาคุมนะ มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้ากำหนดสมาธิขึ้นมาเนี่ย ดูสิเวลาการศึกษาขึ้นมาเนี่ย เราศึกษาแล้วมันเครียดมาก อะไรมาก เราก็ปล่อยทำใจสบายๆ พุทโธ พุทโธ หรือกำหนดอะไรให้จิตมันสงบขึ้นมา แล้วเราก็ไปศึกษา ศึกษาอันเดิม ศึกษาวิชาชีพ ศึกษาโลกียปัญญา มันจะจำได้แม่น ข้อมูลทางวิชาการเนี่ยจะชัดเจนมากเลย อันนี้มันเป็นวิชาชีพ มันได้ประโยชน์กับหน้าที่การงาน

แต่ถ้าเราจะเอาความสะดวกของใจเพื่อจะชำระกิเลส พอจิตมันสงบกำหนดพุทโธ พุทโธ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิคือมีสติสัมปชัญญะเนี่ย พอมีสติสัมมาสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ มันควบคุมจิตนี้ได้ ถ้าควบคุมจิตนี้ได้ มันเห็นไหมมันรำพึงในจิต รำพึงในจิตให้เข้าไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาเขาเรียกโลกุตตรปัญญา

โลกุตตรปัญญา มันเป็นปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ตัวสัมมาสมาธิเนี่ย ตัวสมาธิตัวฐานของจิต ตัวเราเนี่ย ตัวความรู้สึก ตัวฐานของความคิดเนี่ยมันเป็นการแบ่งความคิดที่ออกมาจากมัน แบ่งไปทางซ้ายหรือทางขวา ไอ้มดสองพวกเมื่อกี้นี้ไง ไอ้มดพวกที่คิดดีคิดชั่วอันหนึ่ง แต่อันนี้มันคิดโลก คิดธรรม ถ้ามีสมาธิเนี่ยโดยสามัญสำนึกเนี่ย เราเกิดขึ้นมาเนี่ย มันเชาว์ปัญญาใช่ไหม ประสาเราว่ามันเป็นดีเอ็นเอของจิตเลย มันเป็นความคิดต้นกำเนิดเป็นฐานของความคิดโดยธรรมชาติเป็นอย่างนี้

พอมีสมาธิเข้ามานี่ สมาธิเนี่ยพอมีสมาธิ พอมีสติมีปัญญาขึ้นมาเนี่ย ตัวสมาธิตัวสติตัวปัญญาเนี่ยมัน… เพราะเป็นสัจธรรม แล้วเรามีสติสัมปชัญญะ เราสุคโต เราเป็นคนทำเองมีความสงบเอง เรามีความสงบ เรามีสติสัมปชัญญะ เราเป็นคนควบคุมมันเองใช่ไหม แล้วเราควบคุมให้ออกทำงานโดยปัจจุบันธรรม ไม่ได้ด้วยควบคุมทำงานโดยสามัญสำนึก โดยสัญชาติของมนุษย์ ที่มนุษย์มีปัญญาที่ทางโลกทางวิชาการเขาใช้กันน่ะ

เราใช้ปัญญาของเราเอง เป็นปัจจุบันของเราเอง เกิดจากสัจธรรม เกิดจากพระพุทธเจ้า เกิดจากธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเราบังคับบัญชามันเอง แล้วเราดูมันออกมาทำงานเอง นี่ไงมันเป็นปัจจุบันเป็นปัตจัตตัง เป็นปัจจุบันเป็นสัจธรรม เดี๋ยวนี้ที่เราเกิดพุทธศาสนานี้ นี่มันถึงเป็นโลกุตตรปัญญา เพราะปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสติสัมปชัญญะตัวนี้ มันควบคุมตัวนี้ไม่ได้ พอควบคุมตัวนี้ไม่ได้มันก็ไหลตามสามัญสำนึกใช่ไหม มันไหลไปลงธรรมชาติสู่ธรรมชาติเดิมของมัน

นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติไง จริงๆ อยู่ธรรมะ ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้ เราก็เกิดธรรมชาติอย่างนี้ แต่เราเอาธรรมชาติต้นทุนนี้มาทำให้สิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติ สิ่งที่เราควบคุมได้ เราบริหารจัดการของเราได้ พอบริหารจัดการได้เห็นไหม ตัวสมาธิเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างโลกียะกับตัวโลกุตตระ โลกียะคือสามัญสำนึกที่เกิดโดยสามัญสำนึกนี้ โลกุตตระ โลกุตตรธรรมเหนือโลก เหนือภพ เหนือความความเป็นไปของจิต

ปัญญาที่เกิดจากจิตแล้วเหยียบย่ำจิต ทำลายจิต ทำลายโลกทัศน์ ทำลายภพ ทำลายตัวเรา ทำลายจิต ทำลายทั้งหมดเห็นไหม นี่คือสัจธรรมมันเหนือธรรมชาติไง มันถึงต้องอาศัยสมาธิ เราจะบอกว่าสมาธินี่เป็นตัวแบ่งแยก สมาธินี่เป็นตัวคัดเลือกและมันมีมิจฉากับสัมมา เป็นสมาธิแล้วยังมีมิจฉาสมาธิอีกนะ มีมิจฉาสมาธิ มีสัมมาสมาธินะ ถ้าไม่อย่างนั้นมรรค ๘ เห็นไหมมิจฉามรรค สัมมามรรค มรรคมีมิจฉาด้วย ไม่ใช่ แหม สั่งเลยขอมาชามหนึ่ง มันจะมีกับเราหมดไม่มีทาง มรรคมีสัมมา มีมิจฉานะ

ฉะนั้นพอมรรคมีสัมมามีมิจฉาปั๊บเนี่ย ไอ้ตัวสมาธิเนี่ยมันคือต้นทุน ฉะนั้นตัวสมาธินี่คือสมาธิ สมาธิสำคัญไหม เราจะบอกว่าสมถะ สมาธิสำคัญมาก แต่สำคัญมากในขั้นของสมาธิ ขั้นที่สำคัญกว่าขึ้นไปอีกคือขั้นของปัญญา ฉะนั้นขั้นของปัญญาที่มันจะสำคัญมากกว่านี้อีก ทีนี้ขั้นของสมาธิที่มันสำคัญอยู่แล้วเนี่ย มันก็ต้องให้สำคัญโดยตามข้อเท็จจริงที่มันเป็นเนื้อหาสาระเป็นสมาธิขึ้นมา แล้วขั้นของปัญญาเนี่ยที่เกิดบนสมาธิที่ถูกต้องนี่เห็นไหม

ถาม : ๓. การเดินปัญญานี่กระผมมีความชอบในเรื่องจริตนิสัยส่วนตัว มีชอบคิดว่า

หลวงพ่อ : เนี่ยเดินปัญญาอย่างนี้นะ การเดินปัญญาอย่างนี้ ความคิดมันทุกข์ขึ้นมา มันอะไรขึ้นมาต่างๆ นี่ อ่านแล้วข้อที่สามเนี่ย

ถาม : ขนาดเผลอ เพราะเผลอตัวขาดสติ เมื่อมีสติเมื่อใด มันก็จะบอกตัวเองว่าเอออันนี้แหละคือตัวจิตเห็นไหม มันชอบปรุงแต่ง มันชอบคิด มันชอบนำทุกข์มาให้แล้ว คุณจะทุกข์ใจไปทำไม พอคิดอย่างนี้ปั๊บ มีสติรู้ทันอย่างนี้ปั๊บ มันก็เบาครับ อันนี้ถูกหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ : เนี่ยถูก ถูกในขั้นของปัญญาอบรมสมาธิไง ความคิดอย่างนี้ถูก เราเทศน์ไปเปิดในเว็บไซต์นะ ไอ้ฝึกปัญญาเนี่ยก็สอนอย่างนี้ ฝึกปัญญาเห็นไหม เหมือนวัว วัวควายเนี่ยเขาฝึกมันมา เขาฝึกมันมาจากวัวควายที่มันไม่เป็นเนี่ย ถ้ามันฝึกที่มันใช้งานเป็นแล้วเนี่ย วัวควายชุดนี้มันจะมีราคากว่าวัวควายฝูง วัวควายฝูงเนี่ยมันเป็นวัวควายฝูงเขาไว้กินเนื้อ มันทำงานไม่เป็น พอเขามา… หัดไถนา หัดใช้งาน พอมันหัดใช้งานได้เนี่ยเขาจะตีราคาใหม่เพราะวัวควายเนี่ยมันใช้งานได้

ปัญญาที่เราคิดกันอยู่เนี่ยมันเป็นโลกียปัญญา เนี่ยปัญญาเห็นไหม ในจริตนิสัยความชอบเนี่ยคิดดูว่าความทุกข์มันเกิดขึ้น ความคิดมันเกิดขึ้นไล่ความคิดมันไปเห็นไหม มันจะเกิดดับเป็นธรรมดาเนี่ยพอรู้ทันเข้า มันก็หยุดอย่างนี้ถูกไหม ถูก แต่ถูกในขั้นของปัญญาอบรมสมาธิไง การใช้ปัญญาเนี่ยใช้ได้ทุกขั้นตอน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์จะรู้เลย อย่างเด็กเห็นไหม ดูสิเด็กที่มันกิน มันนอนตามสบายมัน มันไม่กวนพ่อกวนแม่มันถูกไหม ถูก เนี่ยถ้าเด็กไม่ถูกมันก็ร้องไห้กวนเราทั้งวันน่ะสิ เราเลี้ยงง่ายดูแลง่ายถูกไหม ถูก

นี่ก็เหมือนกันความคิดอย่างนี้ ความคิด จิตที่มันตรึกในธรรมะเนี่ย มันก็เหมือนเด็ก เด็กมันตรึกในธรรมะเห็นไหม เราคิดธรรมพระพุทธเจ้าเห็นไหม เนี่ยจิตมันเกิดดับ มันเป็นอย่างนั้นเอง พอรู้ทันมันก็หยุดเอง มันก็เหมือนเด็กๆ เด็กๆ เห็นไหม เนี่ยมันกินๆ นอนๆ ตามสบาย ถูกไหม ถูก ไอ้นี่ถูกไหม ถูก ถูก ถูกในขั้นของปัญญาอบรมสมาธิ

นี่การใช้ปัญญาเห็นไหม มันมีปัญญาของมันไป มันใช้ของมันไป ทำอย่างนี้ทำบ่อยๆ เนี่ยหลวงปู่ดูลย์สอนไว้ ดูจิต ดูจิตเนี่ยที่ว่าดูจิตจนเห็นอาการ เนี่ยมันก็ใช้ปัญญาอย่างนี้แล้วมันจะหยุด มันจะดับ มันจะหยุด มันจะดับเห็นไหม เนี่ยจนหยุดบ่อยๆ เข้าจนจิตเห็นอาการของจิต ไล่เข้าไป ไล่เข้าไป เส้นทางการดำเนินมันเป็นอย่างนี้ เพียงแต่เราต้องรู้ว่าเส้นทางดำเนินอย่างนี้ มันเป็นเส้นทางที่เราจะเริ่มต้นอย่างใด

เนี่ยเรานั่งกันอยู่เนี่ยนะ นั่งอยู่เนี่ยเหมือนครอบครัวของเรา วันนี้เราต้องมีงานสังคม เราจะแต่งตัวชุดใดออกจากบ้าน วันนี้เราจะต้องไปทำงาน เราจะแต่งตัวชุดใดออกจากบ้าน วันนี้เรามีงาน เราจะไปเดินทางไกลเราจะแต่งตัวอะไรออกจากบ้านเห็นไหม เราจะแต่งตัวออกจากบ้านเนี่ย เราจะไปงานสังคม เอ็งจะแต่งชุดเดินป่าไปสังคมเหรอ เขาจะไปกินเลี้ยงกัน เอ็งจะแต่งชุดเดินป่ากินเลี้ยงใช่ไหม มันก็ไม่ใช่

ความคิดที่มันจะเกิดขึ้นมาเนี่ย มันก็มีระดับของมัน ทีนี้ระดับของมันเนี่ยมันก็เหมือนต้นทุนน่ะ เราต้องคิดเริ่มต้นไง เราอยู่ในครอบครัวของเราเนี่ย เราจะเป็นครอบครัวของเราขึ้นมาได้ไหม ถ้าเราไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหมมันถึงจะเป็นครอบครัวอบอุ่นขึ้นมาได้ จิตเนี่ยถ้ามันจะยืนตัวของมันขึ้นมาได้เนี่ย มันจะใช้ความคิดอะไรของมัน ความคิดอย่างนี้คือมันหาอยู่หากินไง คือมันเห็นรู้เท่าทันความคิดไง ความคิดอย่างนี้มันจะย้อนไปข้อแรกที่หยุดคิด ถ้าหยุดคิดถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นอย่างนี้

ปัญญาอบรมสมาธิคือไล่ความคิดตัวเราเองเราไป ความคิดที่มันเกิดจากจิตเนี่ยไล่มันไป ปัญญาอบรมสมาธิคือพุทโธนี่คืออันเดียวกัน พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธเนี่ยปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยเพราะอะไร เพราะถ้าปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยมันใช้ปัญญาใช่ไหม เราเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า เราพุทโธๆๆๆ พุทโธเลย มันก็ใช้พลังงานทั้งหมดไปอยู่ที่พุทโธ นี้ไปอยู่ที่พุทโธๆๆ พุทโธเข้าไป พุทโธมันมาจากไหน พุทโธมันมาจากใจเพราะใจมันนึกขึ้นมา พุทโธเกิดไม่ได้ถ้าไม่เกิดวิตกวิจารขึ้นมา

วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ องค์ของสมาธิ เราไม่คิดพุทโธๆ จะมีไหม พุทโธมันอยู่ในพระไตรปิฎกนู่นน่ะ ไม่นึกมันจะมีไหมพุทโธ มันนึกใครเป็นคนนึก ก็จิตนึก แล้วมันสงบสงบอย่างไร มันสงบไปที่จิต ความคิดก็เหมือนกันใครคิด ความคิดเนี่ยใครคิด ก็จิตเนี่ยคิดแล้วปัญญาก็ไล่มันเข้าไปเนี่ย พุทโธกับปัญญาอบรมสมาธินี่อันเดียวกัน แต่มันมาทางน้ำกับมาทางบกเท่านั้นน่ะ มาทางบกเขาก็มาโดยรถ มาทางน้ำเขาก็มาเรือ มันก็เข้าไปสู่เป้าหมาย เนี่ยถ้าเป็นปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

เราจะบอกปัญญาอบรมสมาธินะ เนี่ยพระถ้าปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยไล่เข้าไปอย่างนี้ นี่ความที่ชอบใช้ใช้ปัญญาเนี่ยข้อที่สามเนี่ยคือปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาที่รู้ทันเห็นไหม พอรู้ทันเนี่ยมันก็หยุดเห็นไหม มันก็ดีขึ้นแล้วไล่เข้าไป การที่จิตจะตั้งมั่นได้ จิตจะเห็นอาการของจิตได้ มันก็ไล่เข้าไปอย่างนี้ ไล่เข้าไป คำว่าไล่เข้าไปเห็นไหม คำว่าไล่นี่ใครเป็นคนคิดคือสติ คือปัญญานะไล่

ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ มีทุกอย่างเลย พอมีทุกอย่างเลยนี่พอเราไล่เข้าไปเนี่ย มันต้องขบวนการของมรรคมันต้องครบของมัน ทีนี้เราไล่เข้าไป เราสร้างขึ้นไปเห็มไหม มรรคมันไม่มีในท้องตลาด ในตำราก็ไม่มี ในตำรามีชื่อของมรรค ตัวมรรคไม่มี ในตำรามีชื่อสติ มีชื่อสมาธิ มีชื่อปัญญา ปัญญาชื่อทั้งนั้นนะ แล้วเราไปก๊อปปี้ปัญญาเขามาไง พระพุทธเจ้าคิดอย่างนี้ กูคิดตามพระพุทธเจ้าเลย นั่นเป็นความคิดพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความคิดมึง มึงไปเรียนแบบมา มึงไม่ได้กินหรอก เห็นเขากินข้าวน่ะ ยืนดูเขาบอกกูอิ่มแล้ว อิ่มแล้ว อีกร้อยชาติเถอะ ยืนดูพระพุทธเจ้ากินข้าวนะ บอกท้องกูอิ่ม ท้องกูอิ่ม เออกูจะรอมึงอิ่ม ปัญหาเขาใช้ได้…

ถาม : ๔. มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ผมอยู่กับภรรยาและลูกๆ กระผมกำลังอุ้มลูกอยู่ มันมีความรู้สึกแว้บ (เห็นไหม) มีความรู้สึกแว้บขึ้นมาจากไหนไม่ทราบคิดว่า เอ..อันนี้ลูกของเรา วันหนึ่งเขาต้องตาย ขณะนั้นไม่มีความรู้สึกรัก หรือเกลียด หรือชัง หรือเศร้าใจเกี่ยวกับลูกเลย แต่รู้สึกเหมือนว่าจะเฉยๆ แล้วนิ่ง เมื่อมันเกิดขึ้นแว้บเดียวเท่านั้น

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นผมก็มานั่งทบทวนตัวเองว่า ความรู้สึกแว้บเดียวที่เกิดขึ้นนั้น เราเป็นบ้าหรือไม่เพราะโดยปกติคนทั่วไปต้องรักลูก และวันอื่นๆ ผมก็รักลูกมาก จึงนั่งคิดทบทวนด้วยตัวเอง พยายามหาเหตุผลมาโต้ตอบกัน ก็พบว่าความคิดนั้นถูกต้องนี่ วันหนึ่งลูกเราและเราก็ต้องตายจากกันจริงๆ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด หาที่ค้านไม่ได้

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือตัวผมเองปัจจุบันเป็นหัวหน้าที่ทำงานแห่งหนึ่ง มีลูกน้องที่ต้องควบคุมดูแลสั่งการ ครั้งหนึ่งลูกน้องทำงานไม่ได้ดั่งใจเราก็มักจะโกรธ แต่วันหนึ่งขณะที่เรากำลังจะโกรธเกลียด จะโกรธมีความคิดแว้บมาเองว่า เอ คนมีหลายชนิด หลายประเภท แต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น วาง มันก็รู้สึกว่าเบา และมีอีกเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ครับที่มีตัวผู้สอนโดยอัตโนมัติ ในลักษณะนี้ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ อาการอย่างนี้คืออะไร

หลวงพ่อ : เหตุผลอย่างนี้เห็นไหมเนี่ยตามข้อเท็จจริงที่มันเป็นมา เวลาปัญญามันเกิดเนี่ยมันไม่รู้ว่าปัญญาเกิด เวลาปัญญาไม่เกิดเนี่ยมันดันบอกว่าปัญญาเกิด อาการแว้บๆ อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างใด ถ้าไม่ฝึกพุทโธมาจากข้างหน้า อาการแว้บๆ อย่างนี้ปัญญามันเกิดเองโดยสัมมาสมาธิโดยเกิดจากพื้นฐานของจิต แต่มันเกิดโดยที่ไม่มีสติไม่มีใครควบคุมมัน นี่แหละคือปัญญา แต่ปัญญาอย่างนี้มันพึ่งฟักตัว ถ้ามันไม่ฟักตัวเนี่ย ตัวอุ้มลูกอยู่เนี่ย ปัญญามันเกิดเลย เอ๊ะนี่ลูกเรา วันหนึ่งมันก็ต้องตาย นี่ปัญญามันเกิดเห็นไหม

เพราะมันเกิดไป คิดเลยแล้วนี่เราบ้าหรือเปล่าเนี่ย แล้วก็มาทบทวนดูแล้ว มันก็ไม่ได้เศร้าใจ เพราะมันเกิดเป็นธรรมนี่นะ มันไม่มีดีใจเสียใจ เพราะดีใจเสียใจคือกิเลสไง มันก็ไม่ได้เศร้าใจ มันก็ไม่ได้ดีใจ มันก็เฉยๆ เพราะปัญญามันเกิดไง ปัญญาคุณค่าของปัญญาเนี่ย ปัญญามันระดับของปัญญาในการชำระกิเลส คุณค่าของมันไม่เหมือนสุขเวทนา ทุกขเวทนา เหมือนกับความผูกมัดของจิตเราไง

ความคิด ความเห็นเรานี่ มันผูกมัดด้วยกิเลสตัณหาของเรานะ เรารักเราหวงหรือเราผลักออกไปด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันเลยมีความผูกพันไง มีความรู้สึกเสียดายไง มีความเข้าไปผูกพันกับมันเพราะมีเราไง แต่มันเวลามันเกิดโดยธรรมชาติของมันเห็นไหม มันเกิดมาโดยสัจธรรมเห็นไหม แล้วเขาหาเหตุผลมาโต้แย้งๆ เขาก็โต้แย้งไม่ได้ล่ะ เออ ก็มันต้องตายจริงๆ เอ้ามันก็เป็นเรื่องจริง เพราะปัญญามันเกิด มันสงสัยปัญญาตัวเองไง

เวลาปัญญาตัวเองเกิด สงสัยนะ เอ.. ปัญญานี่มันมาได้อย่างไรวะ คนเราก็ต้องรักลูกเป็นธรรมดา คือไส้เดือนน่ะเขาเอาไว้บนโต๊ะมันอยากจะลงไปสู่สินไง มันอยากจะให้เกิดปัญญาปกติไง ปัญญาปกติคือปัญญารักลูกไง พอปัญญามันเกิดเนี่ย เออ เราก็ไม่ได้เกลียดน่ะแล้วเราก็ไม่ได้รัก เอ..มันก็อยู่เฉยๆ นี่ คือคนเราไม่เคยลิ้มรสอย่างนี้ไง นี่รสของธรรมชนะรสทั้งปวง แต่เวลารสของธรรมมันเกิด งงนะ มันไม่แสบเผ็ดร้อนเหมือนน้ำพริกกู กูกินน้ำพริกทุกวันเลยแหม มันซึ้งใจเลย พอมาเจออาหารอย่างนี้ เอ๊ะทำไมไม่อร่อยล่ะ ทำไมมันไม่อร่อย

วิมุตติสุขเป็นยังไง ไม่ใช่สุขโดยขันธ์มันเป็นอย่างไรเนี่ย ไอ้วิมุตติสุขๆ มันสุขยังไงมันไม่ใช่สุขเวทนาทุกขเวทนา แล้วมันจะสุขได้ยังไงเนี่ย เนี่ยเวลาปัญญามันเกิดเห็นไหม โอ๊ะ มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย มันถามตัวเองนะว่าบ้าหรือเปล่า นี่คือปัญญาเกิด เวลาปัญญามันเกิดขึ้นนี่ มันไม่ได้เกิดเอง ปัญญาเกิดเองไม่ได้ แต่ปัญญานี่เขามั่นใจ เขาบอกเขามี เขามั่นใจว่าเขามีอุปจารสมาธิ

สมาธิของผม ผมมั่นใจว่าสมาธิของผมขั้นอุปจารสมาธิ ถ้าผมมีพื้นฐานขั้นอุปจารสมาธิ ทำไมปัญญามันจะเกิดไม่ได้

แล้วพอมีปัญญาเกิดมาแล้วเสือกงง ปัญญาเกิดมาแล้ว แล้วนี่คือปัญญา นี่แหละคือปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการภาวนาเนี่ย ปัญญามันเกิดจากจิต มันไม่ได้เกิดจากสมอง มันไม่มีสถิติ ไม่มีการวัดค่า วัดค่าด้วยสถิติว่ารักหรือชอบ

ถ้าปัญญาเกิดจากสมองเนี่ย เนี่ยนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ถ้าปัญญาไม่เกิดจากสมองพูดไม่ได้นะ กลัวเขาจะหาว่าโหล่ กลัวเขาจะหาว่าไม่มีสติปัญญา ปัญญาจริงๆ น่ะปัญญาเหนือเหตุผล เหนือเหตุเหนือผลเหนือทุกอย่างเลย ถ้าโลกุตตรปัญญามันเกิด แล้วเพราะมันเหนือเหตุเหนือผล มันจึงจะทำลายไอ้ความหมักหมมของใจได้ ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดต้องมีสตินะ

ถ้าเป็นอย่างนี้มันเกิดปุ๊บ กลับไปมันปล่อยให้สติหลุดหมดเลยนะ อยากมีปัญญาเกิดไงกลับไปก็ปล่อยสติเลยให้มันไปหลุดเลย มันปัญญาไม่ใช่ไบร์ทไง มึงบ้าหมดนะ ต้องมีสติ นี้สติมันสมบูรณ์หมดเขาถึงกลับมาถามตัวเองไง นี่ปัญญามันจะเกิดอย่างนี้ ทุกคนเกิดใหม่ๆ มันก็ อึ๊ แล้วมันลึกซึ้ง มันลึกซึ้ง มันจะฝังใจเพราะมันเกิดจากใจ มันจะฝังใจ แล้วมันจะอยู่กับใจของเรา แต่มันไม่เกิดบ่อยๆ แล้วเกิดได้ยากมาก มันจะเกิดได้ต่อเมื่อมีพื้นฐาน มีสัมมาสมาธิแล้วมีการฝึกใช้ปัญญา

เนี่ยหลวงตาท่านสอนบ่อย ถ้าจิตสงบแล้วต้องฝึกออกใช้ปัญญา ปัญญาต้องฝึกฝน นี่คือมันเกิดแว้บๆ นี่ เกิดแว้บมันเร็วมากเห็นไหม นี่ความคิดเร็วกว่าแสง เร็วกว่าทุกๆ อย่าง แล้วถ้ามันเกิดแว้บขนาดนี้ ถ้าสติมันทันมันไม่แว้บอย่างนี้หรอก ใหม่ๆ มันจะแว้บ มันให้เหตุให้ผลมากมายเลยเห็นไหม ไม่รู้สึกรักลูก ไม่รู้สึกเกลียดลูก ไม่รู้สึกเศร้าใจกับลูก ไม่รู้สึกอะไรเลย นิ่งสบายหมดเลยเห็นไหม

นี่ไง มันค่าของมัน ระดับของมันเห็นไหม มันไม่ลำเอียงใครเลยเห็นไหม แต่ไม่เกิดบ่อยๆ เพราะไม่เกิดบ่อยๆ แต่อยากได้อย่างนี้อีกใช่ไหม ถ้าจะคิดให้มันเกิดอีก ไม่เกิด ต้องกลับไปที่สมาธิ กลับไปที่พุทโธ กลับไปที่พุทโธแล้วออกใช้ปัญญา ถ้าออกใช้ปัญญามันก็เหมือนปัญญาข้อที่สาม คือมันใช้ปัญญาตรึกในธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามันจะเกิดมันจะเกิดในข้อที่สี่

ข้อที่สี่หมายถึงว่ามันจะเกิด มันจะเกิดของมันโดยมีฐานรองรับ ไม่ใช่เกิดโดยไม่มีที่มาที่ไป สัจธรรมไม่ใช่เกิดลอยฟ้า ไม่มีที่มาที่ไปจะเกิดเองไม่มี มันจะเกิดต้องมีฐานของมัน ฐานของมัน ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราฝึกกันอยู่เนี่ย ที่มาทุกข์มายากมาตากแดดเนี่ย ที่หัวดำๆ กันอยู่นี่ ก็ต้องการพื้นฐานของมันให้เกิดเป็นสัจธรรมขึ้นมา

ถ้ามันเกิดสัจธรรมขึ้นมาเนี่ยมันเกิดเอง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ปัญญาที่เกิดแว้บมากับในหัวใจเนี่ย ใครจะมาปล้นก็ไม่ได้ ใครจะมาตู่ใครจะมาโกง ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้ มันเป็นของๆ คนนั้น ของๆ คนนั้นจิตดวงนั้นมันจะแก้กิเลสดวงนั้นเห็นไหม มันถึงต้องฝึกขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมาเนี่ย เนี่ยคือปัญญา ปัญญาอย่างนี้ เราก็ไม่ใช่กรรมการซะด้วย จะบอกว่าโลกุตตรปัญญานี่ แล้วหลวงพ่อเอาอะไรมาวัด เราก็ไม่ใช่กรรมการตัดสินกิเลสกับธรรมของใครด้วยเนาะ

มันเป็นปัจจัตตังนะเนี่ยโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างนี้ ถ้ามันเกิดอย่างนี้เรากลับมาที่สมาธินะ เรากลับมาที่สมาธิแล้วทำของเราไปเรื่อยๆ ปัญญาข้อที่สามนี่ฝึกได้ ข้อที่สามคือใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้คือตรึกในธรรมไง ปัญญาในข้อที่สามเนี่ยเห็นไหมจิตเป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่างนี้ ความเกิดดับเป็นอย่างนี้ เนี่ยมันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า

เรานี่เป็นคนทำงานนี่ มันก็มีนโยบายมีสิ่งต่างๆ ทำงานตามนโยบายนั้น เราอยู่ในองค์กรใดต้องมีนโยบายนั้น ในปัจจุบันเรานักปฏิบัติเนี่ย เรามีนโยบายของพระพุทธเจ้าจะพ้นจากทุกข์ เราทำงานอยู่ในนโยบายของพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนที่สุดแห่งทุกข์ นี้สอนที่สุดแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าก็พูดธรรมะไว้เห็นไหม เราทำงานอยู่ ทำงานอยู่ในนโยบาย อยู่ในพุทธศาสนา

เราตรึกในธรรมพระพุทธเจ้าจะผิดไปไหน มันไม่ผิดไปไหน มันทำงานอยู่ในสัจธรรม แต่สัจธรรมอย่างนี้มันเพราะคุณสมบัติ คุณสมบัติหรือเนื้องานของเรานี่มันยังไม่ถึงคุณสมบัติอย่างนั้น เราก็ตรึกในธรรมพระพุทธเจ้า ก็ใช้ปัญญาอย่างนี้ มันก็ฝึกพื้นฐานให้จิตนี่มันสมดุลของมัน ให้จิตเป็นสมาธิขึ้นมา ให้จิตมันออกทำงานของมัน พอจิตมันออกทำงานของมัน มันออกทำงานด้วยปัญญาญาณ ด้วยสัมมาสมาธิของมัน มันจะเกิดเป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะของจิตดวงนั้นไง ถ้าเป็นธรรมะของกิเลสดวงนั้นมันก็จะฆ่ากิเลสดวงนั้นไง มันถึงเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง

ฉะนั้นข้อที่สามเนี่ยไม่ผิด มันเป็นการฝึกงาน เป็นการให้จิตออกทำงาน เป็นการให้จิตฝึกฝน จิตฝึกฝนพอจิตละเอียดขึ้นไป มันเกิดปัญญาของมันเอง แต่ปัญญาที่เราใช้อยู่เนี่ยเราใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้า เราตรึกในธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ย เราใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้า เราใช้ปัญญาอย่างนี้ถูกต้อง พอถ้ามันจะเกิดปัญญามันจะเกิดในข้อที่สี่ คือมันจะเกิดโดยใจของเรา เกิดในสัมมาสมาธิเกิดโดยข้อเท็จจริง เกิดโดยศีล สมาธิ ปัญญา โดยข้อเท็จจริงของเรา โดยจิตของเราเอง นี่รสของธรรมชนะรสทั้งปวง สัจธรรมมันเกิดขึ้นมาจากใจขึ้นมาเนี่ย มันจะเกิดอย่างนี้เกิดโดยที่.. ถ้าเรารู้เราเห็นเราก่อนก็เกิดสัญญาอารมณ์ไง นี่พระปฏิบัติ เราบอกบ่อยใช่ไหมพระปฏิบัติเนี่ยห่วงนักห่วงหนาเรื่องสัญญาอารมณ์ ว่าสัญญาจำ ถิรสัญญาจำเนี่ยนั่นล่ะโคตรติดเลยล่ะ สัญญาการจำน่ากลัวที่สุดเลย เพราะสัญญามันจำ มันจำจากอะไร จำจากจิต จิตนี้มันมหัศจรรย์ จิตมันสร้างภาพไง มันสร้างให้ดีกว่าของเทียมนะ รูปแบบมันดีกว่าของจริงอีก แต่คุณสมบัติในของเทียมไม่มีคุณประโยชน์อะไรเลย

ดูสินค้าเทียมสิ ไปตลาดสิ ไปซื้อผักเนี่ยแมลงวันไม่ตอมเลยล่ะ โอ่ ถ้าแมลงวันตอมมีหนอนไม่ดีนะ มีหนอนน่ะของจริงนะ ผักแช่ฟอร์มาลีนไปดูสิ แมลงวันไม่กล้าตอมน่ะ นี่ไงของเทียมน่ะเราคิดเองแต่งเองน่ะ อู้ฮู สวยงามมากเลย ไม่จริง แต่ถ้ามันจริงขึ้นมาเนี่ย ผักไร้สารพิษน่ะ เขาต้องรักษาอย่างดีเลย แมลงมันชอบ

นี่จิตของเราก็เหมือนกัน เราต้องรักษาของเรา เราต้องดูแลของเราเพื่อประโยชน์ของเรา แล้วมันจะเป็นมันก็เป็นอย่างนี้ มันพลิกกลับเห็นไหม เนี่ยเวลาที่มันเกิดโดยสัญญาอารมณ์โดยภพ โดยโลกียปัญญามันเข้าใจกันได้หมดเลย พอมันเกิดโดยโลกุตตรธรรม มันเกิดโดยสัจธรรม งงนะ มันแว้บขึ้นมานะ แว้บเดี๋ยวนั้นเลย มันไม่แว้บหรอก แว้บเนี่ยคือคนมันเริ่มต้นไง

ฟ้าผ่าฟ้าร้องมันมาจากไหน มันต้องมีคลื่นไฟฟ้าของมัน ไฟฟ้าสถิต มันสันดาปกัน มันถึงเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง มันแว้บมันแว้บมาจากไหน ปัญญาที่มันแว้บ มันแว้บมาจากไหน มันต้องมีจิตของมัน มันต้องมีฐานของมัน มันต้องมีสัมมาสมาธิของมัน มันถึงจะเกิดปัญญาของมัน มันแว้บมาจากไหน มันมีที่มาที่ไปหมด มันต้องมีที่มาที่ไปของมัน มันถึงกลับไปชำระล้างของมัน นี่ไงไอ้แว้บๆๆๆๆ นี่แหละเนี่ยมันปัญญาธรรม ปัญญาธรรม ปัญญาโลกุตตรปัญญาที่จะเกิดมา เพื่อจะมันเนี่ยคือขัดเกลาน่ะ มันยังไม่ฆ่ากิเลส มันขัดเกลาไง

เดิมเราเคยกินแต่อาหาร เนี่ยสัตว์อาชาไนยมันจะเลือกอาหารของมัน มันไม่กินอาหารทั่วไป สัจธรรมที่เกิดจากจิต พอจิตมันได้อาหารที่แปลก แปลกกว่าที่เคยกินอยู่ แปลกกับสิ่งที่ชีวิตประจำวัน ความคิดปกติ ความคิดสามัญสำนึกเนี่ย ความคิดโดยสัญชาติของมนุษย์ อันนี้พอมันคิดมามันแว้บมาเรื่องลูก แว้บขึ้นมาเรื่องหน้าที่การงาน เนี่ยมันแว้บขึ้นมาอย่างนี้นะ มันแว้บขึ้นมาเพราะอะไร เวลามันมีระยะห่างของมัน มีกำลังของมันเนี่ย

เนี่ยหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาเห็นไหมที่สมเด็จฯ เขาถามว่า หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาไปฟังธรรมใคร เนี่ยธรรมเห็นไหม เนี่ยธรรมเกิดเวลามันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก เกิดขึ้นมาจากสัจธรรมแต่ไม่เกิดบ่อยๆ เนี่ยธรรมมันเกิดเนี่ยมันเทศน์ให้ฟังเลย สัจธรรมมันเกิด ฉะนั้นไอ้นี้คือปัญญา แต่อย่าชะล่าใจนะ อันนี้มันแค่แว้บๆ เนี่ย มันแค่แสงหิ่งห้อย แค่บอกให้เราเนี่ยมีช่องทาง

ฉะนั้นให้ขยันหมั่นเพียรให้ตั้งใจทำ สิ่งที่ทำมาเนี่ยถูกต้องดีงามแล้ว แล้วถึงว่าพุทโธไว้ ปัญญาอบรมสมาธิไว้ มันต้องมีเหตุมีผล อย่าทิ้งเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราจะเป็นคนดีกัน เนี่ยพระพุทธเจ้าสอนไว้คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความขยันหมั่นเพียร มรรคองค์หนึ่ง เพียรชอบ เราจะล่วงพ้นความทุกข์ด้วยความเพียรของเรา ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

ฉะนั้นให้ขยันหมั่นเพียรอย่าไปปล่อยหลักลอย อย่าไปดูไว้เฉยๆ ถ้าจะดูจิตต้องเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นกำหนดสมาธิต้องกำหนดพุทโธ ต้องมีคำบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ มรณานุสสติ เทวดานุสสติ ต้องมีคำบริกรรมให้จิตมันมีที่เกาะ แล้วถ้ามันจะใช้ปัญญาก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเกิดจากสติ สติดีจะหยุดได้หมด สติไม่ดีไม่มี สติคือสติ แล้วมีสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ สติจริง สติปลอมไม่มี สติเป็นสมมติหมด อริยสัจเป็นสมมติ ทุกอย่างเป็นสมมติ สมมติทั้งนั้นเลย พอข้ามจากสมมติไปเป็นวิมุตติจบสิ้นขบวนการ เอวัง